ประธานเฟดสาขาริชมอนด์ ระบุเฟดควรขึ้นดอกเบี้ยให้ถึงระดับ 1.5% เป็นอย่างน้อย
นายเจฟฟรีย์ แลคเกอร์ ประธานเฟดสาขาริชมอนด์ (ไม่มีสิทธิออกเสียง) ระบุเมื่อคืนนี้ว่า เฟดควรขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อป้องกันไม่ให้อัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงมากจนเกินไปและจะเป็นการบังคับให้เฟดต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าเดิม
โดยนายแลกเกอร์กล่าวว่า จากแรงกดดันเงินเฟ้อในปัจจุบัน "การดำเนินการขึ้นดอกเบี้ยไปก่อนอย่างรอบคอบ" จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดสถานการณ์ทีบังคับให้เฟดต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรุนแรงในภายหลัง และน่าจะช่วยรักษาเสถียรภาพของอัตราเงินเฟ้อ โดยอัตราดอกเบี้ยของเฟดที่เหมาะสมในปัจจุบันควรอยู่ที่ระดับ 1.5% เป็นอย่างน้อย (1.5% = การขึ้นดอกเบี้ย 4 ครั้ง) โดยปัจจุบันเฟดมีอัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ระดับ0.25 - 0.50%
ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น
จากถ้อยแถลงดังกล่าวส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นทำจุดสูงสุดในรอบกว่า 2 สัปดาห์ โดยดัชนีดอลลาร์แข็งค่าขึ้น 0.43% สู่ระดับ 96.10 จุด ขณะที่ทำจุดสูงสุดบริเวณ 96.44 จุด ซึ่งนับเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 9 ส.ค. ขณะที่ค่าเงินปอนด์อ่อนค่าลงทำจุดต่ำสุดในรอบ 31 ปี นับตั้งแต่ปี 1985 ที่ระดับ 1.2722 ดอลลาร์/ปอนด์ โดยความกังวลต่อ Brexit เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่คอยกดดันค่าเงินปอนด์และหนุนค่าเงินดอลลาร์
ประธานเฟดชิคาโก ระบุ มีความกังวลน้อยลงเกี่ยวกับการขึ้นดอกเบี้ยครั้งถัดไป
นายชาร์ลส์ อีแวนส์ ประธานเฟดสาขาชิคาโก (ไม่มีสิทธิออกเสียง) ระบุในเช้าวันนี้ว่า ตัวเขามีความกังวลน้อยลงเกี่ยวกับช่วงเวลาในการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดในครั้งถัดไป โดยระบุว่า เฟดนั้นสื่อสารเพื่อชี้นำตลาดได้ล่วงหน้าถึงการขึ้นดอกเบี้ยในครั้งถัดไป เมื่อสัญญาณของอัตราเงินเฟ้อมีการเปลี่ยนแปลงไป
ระดับเงินเฟ้อปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 1.7% ยังคงต่ำกว่าระดับ 2% ตามเป้าหมายของเฟด
IMF ออกรายงานคงตัวเลขคาดการณ์เศรษฐกิจโลกที่ระดับ 3.1% ปีนี้, 3.4% ปีหน้า
กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ออกรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลก (WEO) เมื่อวานนี้ โดยได้คงตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกที่ระดับ 3.1% ในปีนี้ ขณะที่ระบุว่าเศรษฐกิจถูกกดดันจากการลงประชามติของอังกฤษที่แยกตัวจากสหภาพยุโรป และการขยายตัวที่อ่อนแอเกินคาดของสหรัฐในช่วงครึ่งแรกของปีนี้
IMF ยังได้คงตัวเลขคาดการณ์เศรษฐกิจโลกในปีหน้าที่ระดับ 3.4% โดยได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวของประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ เช่น รัสเซีย และบราซิล อย่างไรก็ดี IMF ปรับลดอัตราการขยายตัวของสหรัฐลง 0.6% สู่ระดับ 1.6% ในปีนี้ และลดลง 0.3% สู่ระดับ 2.2% ในปีหน้า หลังจากที่มีการขยายตัว 2.6% ในปีที่แล้ว โดยถูกกระทบจากการแข็งค่าของดอลลาร์, การใช้จ่ายด้านทุนที่อ่อนแอ, ภาวะผันผวนในตลาดการเงินในช่วงต้นปี และความไม่แน่นอนทางด้านนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งประธานาธิบดีในเดือนพ.ย.
ราคาน้ำมันดิบ
ราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวลดลง 0.2% สู่ระดับ 48.69 เหรียญ/บาร์เรล เมื่อวานนี้ เนื่องจากนักลงทุนเทขายทำกำไรหลังจากสัญญาน้ำมันปิดบวกติดต่อกัน 4 วันทำการก่อนหน้านี้ ขณะที่ในเช้าวันนี้ราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวสูงขึ้นกว่า 1.19% สู่ระดับ 49.28 เหรียญ/บาร์เรล เนื่องจากข้อมูลสต็อกน้ำมันดิบโดย API ออกมาปรับตัวลดลง 7.6 ล้านบาร์เรล นับเป็นการปรับตัวลดลงติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 5