ค่าเงินดอลลาร์ปรับแข็งค่า ท่ามกลางกลุุ่มนักลงทุนที่มีกระแสคาดการณ์ว่าเฟดอาจไม่ขึ้นดอกเบี้ยในเร็วๆนี้
วันนี้ค่าเงินดอลลาร์ปรับแข็งค่าขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 1 เดือนเมื่อเที่ยบกับค่าเงินเยน ท่ามกลางกลุุ่มนักลงทุนที่มีกระแสคาดการณ์ว่าเฟดอาจไม่ทำการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเร็วๆนี้ โดยค่าเงินเยนในช่วงต้นสัปดาห์อยู่ที่ระดับประมาณ 100.500 เยน/ดอลลาร์ ก่อนที่เมื่อคืนนี้จะกลับมาอ่อนค่าขึ้นแถวระดับ 103.230 เยน/ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ 29 กรกฎาคมที่ผ่านมา
ทั้งนี้ กระแสวิจารณ์เกี่ยวกับความไม่แน่นอนในการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนตัวลงจากระดับ 99.55 ดอลลาร์/เยน ในช่วงกลางเดือนสิงหาคม และลงมาแถวระดับ 99.00 ดอลลาร์/เยน ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม
ด้านค่าเงินยูโรเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยแถวระดับ 1.1153 ดอลลาร์/ยูโร ซึ่งเป็นระดับการเคลื่อนไหวใกล้กับจุดต่ำสุดเดิมในช่วง 3 สัปดาห์บริเวณ 1.1133 ดอลลาร์/ยูโรในวันอังคารที่ผ่านมา หลังจากที่ภาพรวมอ่อนค่าลงมาแล้ว 0.2% ในเดือนนี้
ด้านค่าเงินยูโรเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยแถวระดับ 1.1153 ดอลลาร์/ยูโร ซึ่งเป็นระดับการเคลื่อนไหวใกล้กับจุดต่ำสุดเดิมในช่วง 3 สัปดาห์บริเวณ 1.1133 ดอลลาร์/ยูโรในวันอังคารที่ผ่านมา หลังจากที่ภาพรวมอ่อนค่าลงมาแล้ว 0.2% ในเดือนนี้
ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลได้รับแรงหนุนจากถ้อยแถลงประธานเฟดในคืนวันศุกร์ที่ผ่านมาที่จุดประกายกระแสคาดการณ์ว่าเฟดอาจขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนกันยายนนี้โดยค่าเงินเยนอ่อนค่าในฐาน Safe-Haven หลังจากทราบผลการลงประชามติอังกฤษ
ตัวเลขเศรษฐกิจที่ทุกคนกำลังจับตาดูในวันนี้
นักลงทุนในตลาดกำลังติดตามข้อมูลการจ้างงานภาคเอกชนโดย ADP ในวันนี้ ซึ่งข้อมูลการจ้างงานในเดือนนี้มีความสำคัญมากกว่าปกติ เนื่องจากเฟดที่ออกมาระบุว่าการขึ้นดอกเบี้ยในเดือน กันยายน นั้นมีความเป็นไปได้
นักเศรษฐศาสตร์จาก Deutsche Bank ระบุว่า นักลงทุนกำลังติดตามข้อมูลการจ้างงานเนื่องจากเป็นข้อมูลที่มีความหมายต่อเฟด ซึ่งน่าเสียดายที่เฟดนั้นพึ่งพาตัวเลขเศรษฐกิจเพียงตัวเดียวมากเกินไป ดังนั้นนักลงทุนจึงให้ความสำคัญกับการจ้างงานมากกว่าที่มันควรจะเป็น
ที่ปรึกษาเศรษฐกิจจาก Allianz คาด มีโอกาส 80% ที่เฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยเดือนกันยายนหากข้อมูลการจ้างงานแข็งแกร่ง
นาย โมฮัมเม็ด อัล-อีเรียน ผู้อำนวยการที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจประจำ Allianz กล่าวว่า ปัจจัยมีโอกาส 60% ที่เฟดจะทำการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนกันยายน แต่ก็มีโอกาสสูง 80% ที่เฟดจะทำการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนดังกล่าวเช่นกัน
ทั้งนี้ เขาระบุในการสัมภาษณ์ผ่านรายการ “Fast Money” ของ CNBC โดยระบุว่า หากรายงานภาคแรงงานออกมาสูงขึ้นควบคู่กับ 3 ประเด็นสำคัญดังนี้: การจ้างงานมากกว่า 180,000 ตำแหน่ง, อัตราค่าแรงขยายตัวขึ้น และไม่มีสัญญาณอื่นใดที่จะส่งผลให้อัตราว่างงานปรับตัวสูงขึ้น
นอกจากนี้ เขามองว่าคงเป็นการยากที่เฟดจะไม่ทำการขึ้นอัตราดอกเบี้ยจากการจ้างงาน เนื่องจากต้องรวมอัตราส่วนเข้ากับอัตราว่างงานและอัตราค่าแรงที่จะเป็นตัวบ่งบอกก้าวต่อไปได้ เพราะในขณะนี้อัตราการจ้างงานขยายตัวได้เกือบสมบูรณ์แล้ว ซึ่งถึงแม้ว่าข้อมูลภาคแรงงานจะสอดคล้องกันแค่ 2 ใน 3 เงื่อนไขที่กล่าวไปข้างต้น ก็ยังมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นปัจจัยที่หนุนให้เฟดตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอยู่ดี
อย่างไรก็ดี ตลาดการเงินไมได้คิดเหมือนกับ นาย อัล-อีเรียน โดยผลสำรวจจาก CME Group พบว่า มีโอกาส 24% ที่เฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนกันยายน และมีโอกาส 55% ที่จะทำการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนธันวาคม ขณะที่ นาย อัล-อีเรียน มองว่ามีโอกาส 60% ที่เฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนกันยายน เนื่องจากเงื่อนไขของเศรษฐกิจนานาประเทศด้วย ไม่เพียงแค่ปัจจัยภายในประเทศเท่านั้น
น้ำมันดิบปรับตัวลดลงในวันนี้
ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลง เนื่องจากค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าบริเวณจุดสูงสุดในรอบ 3 สัปดาห์และสต๊อกน้ำมันดิบโดย API บ่งชี้ถึงการเพิ่มขึ้นของสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯ
โดย น้ำมันดิบ WTI ปรับตัวลดลง 0.04% หรือ 7 เซนต์ ที่ระดับ 46.28 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่น้ำมันดิบ BRENT ปรับตัวลดลง 0.06% หรือ 5 เซนต์ ที่ระดับ 48.34 เหรียญ/บาร์เรล