MTS Help Center

เมื่อวานนี้ข้อมูลการใช้จ่ายของผู้บริโภคสหรัฐฯประจำเดือน ก.ค. ออกมาปรับตัวสูงขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 4 โดยได้รับแรงหนุนจากอุปสงค์สินค้าคงทน อาทิ รถยนต์ ซึ่งรายงานดังกล่าวช่วยหนุนมุมมองต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯและอาจช่วยให้เฟดสามารถขึ้นดอกเบี้ยได้เร็วขึ้น

การใช้จ่ายผู้บริโภคปรับตัวสูงขึ้น 0.3% (เดิม 0.5%, คาดการณ์ 0.3%) โดยได้รับแรงหนุนสำคัญจากการปรับตัวสูงขึ้น 1.6% จากการซื้อสินค้าคงทน ขณะที่การใช้จ่ายในภาคบริการปรับตัวสูงขึ้น 0.4% ขณะที่การใช้จ่ายซื้อสินค้าไม่คงทนปรับตัวลดลง 0.5%

ขณะที่รายได้ของผู้บริโภคปรับตัวสูงขึ้น 0.4% (เดิม 0.3%, คาดการณ์ 0.4%) โดยได้รับแรงหนุนจากค่าจ้างและเงินเดือนที่ปรับตัวสูงขึ้น 0.5%

อย่างไรก็ดีอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ยังคงไม่ปรับตัวสูงขึ้น โดยดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคลพื้นฐาน (Core PCE Price Index) ซึ่งไม่รวมภาคอาหารและพลังงาน ยังคงทรงตัวในเดือน ก.ค. ปรับตัวสูงขึ้น 0.1% (เดิม 0.1%, คาดการณ์ 0.1%) และเมื่อเทียบรายปีก็ยังคงปรับตัวสูงขึ้น 1.6% เท่ากับเดือน มิ.ย. เช่นเดียวกัน

นักวิเคราะห์จาก Wells Fargo Funds Management ระบุว่า เป็นสัญญาณที่ดีที่รายได้และการบริโภคของผู้บริโภคยังคงแข็งแกร่ง ซึ่งช่วยหนุนเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่างไรก็ดี คำถามถัดมาก็คืออัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯจะปรับตัวสูงขึ้นหรือไม่ ดังนั้นจึงยิ่งต้องติดตามข้อมูลการจ้างงานในวันศุกร์นี้ โดยในขณะนี้ภาพรวมยังคงไม่ชัดเจน

ค่าเงินดอลลาร์ทรงตัวในวันนี้ โดยนักลงทุนกำลังเฝ้าจับตาไปยังข้อมูลการจ้างงานในคืนวันศุกร์นี้ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการบ่งชี้ว่าเฟดจะดำเนินนโยบายการเงินต่อไปอย่างไร โดยดัชนีดอลลาร์ทรงตัวบริเวณ 95.549 จุด ในวันนี้ หลังจากที่เมื่อวานนี้ปรับตัวสูงขึ้นทำจุดสูงสุดบริเวณ 95.834 จุด ซึ่งเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่ 12 ส.ค.

ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงมากกว่า 1% เมื่อวานนี้ หลังจากที่ปรับตัวสูงขึ้นติดต่อกัน 2 วันทำการ เนื่องจากความกังวลต่อภาวะอุปทานน้ำมันดิบล้นตลาด และค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้น รวมถึงการคาดการณ์ว่ากลุ่มกบฏในไนจีเรียจะหยุดโจมตีอุตสาหกรรมน้ำมัน

ราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวลดลงเมื่อวานนี้ 1.4% สู่ระดับ 46.98 เหรียญ/บาร์เรล

กลุ่มกบฏในไนจีเรียออกมาให้คำมั่นว่าจะหยุดโจมตีอุตสาหกรรมน้ำมัน ทั้งนี้ก่อนหน้านี้กลุ่มกบฏดังกล่าวได้โจมตีท่อส่งน้ำมันดิบของไนจีเรีย

ความกังวลต่อภาวะอุปทานส่วนเกิน ได้บดบังข่าวการหยุดการผลิตน้ำมันดิบและแก๊สธรรมชาติในอ่าวแมกซิโกเนื่องจากต้องเฝ้าระวังพายุโซนร้อน ซึ่งการปิดทำการดังกล่าวส่งผลให้มีการผลิตน้ำมันดิบลดลงราว 1.68 แสนบาร์เรล/วัน หรือคิดเป็น 11.5% ของกำลังการผลิต