ข่าวเกี่ยวกับทองคำ
- สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกเล็กน้อยในวันอังคาร ขณะที่นักลงทุนจับตาผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และธนาคารกลางยุโรป (ECB) ในสัปดาห์นี้
- ราคาทองคำตลาดโลก ปรับตัวขึ้น 10.03 เหรียญ หรือ 0.51% อยู่ที่ระดับ 1,964.75 เหรียญ
- สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือนส.ค. เพิ่มขึ้น 1.50 เหรียญ หรือ 0.1% ปิดที่ 1,963.70 เหรียญ
- สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนก.ย. เพิ่มขึ้น 24 เซนต์ หรือ 1% ปิดที่ 24.82 เหรียญ
- สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนต.ค. เพิ่มขึ้น 7.10 เหรียญ หรือ 0.7% ปิดที่ 976.60 เหรียญ
- กองทุนทองคำ SPDR วันก่อนหน้าไม่เปลี่ยนแปลง ปัจจุบันถือครองที่ 919.0 ตันภาพรวมเดือนกรกฎาคม ขายสุทธิ 2.9 ตัน ขณะที่ปีนี้ ตั้งแต่ 1 ม.ค. - ปัจจุบัน ซื้อสุทธิ 1.36 ตัน
- นักวิเคราะห์จากบริษัท FXTM กล่าวว่า “ตลาดทองคำมีความผันผวนในสัปดาห์นี้ เนื่องจากเป็นสัปดาห์ที่มีการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางรายใหญ่อย่าง เฟด และ ECB รวมทั้งเป็นสัปดาห์ที่จะมีการเปิดผยข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐ ซึ่งรวมถึงผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 2/2566 และดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือนมิ.ย. ซึ่งเป็นข้อมูลเงินเฟ้อที่เฟดให้ความสำคัญ”
- สมาคมทองคำจีน (CGA) เปิดเผยว่า ปริมาณการใช้ทองคำของจีนในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 เพิ่มขึ้นกว่า 16% แตะที่ 554.88 ตัน ขณะเดียวกัน ผลผลิตทองคำเพิ่มขึ้น 2.24% แตะที่ 178.598 ตัน โดยรายงานระบุว่า ปริมาณการใช้ทองรูปพรรณเพิ่มขึ้นเกือบ 15% แตะที่ 368.26 ตันในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ อย่างไรก็ดี ตัวเลขปริมาณการใช้ทองคำดังกล่าวไม่นับรวมทองคำสำรองที่ซื้อโดยธนาคารกลางจีน (PBOC)
ข่าวเกี่ยวกับค่าเงิน และธนาคารกลาง
- ดัชนีดอลลาร์ ปรับตัวลดลง -0.1 จุด หรือ -0.1% มาอยู่ที่ระดับ 101.32 จุด
- อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ปรับตัวขึ้น 0.01 % มาอยู่ที่ระดับ 3.89% ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 2 ปี ปรับตัวลดลง -0.04 % มาอยู่ที่ระดับ 4.881% โดยที่ส่วนต่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ 10 ปี น้อยกว่า 2 ปี เท่ากับ-0.99%
- ธนาคารรายใหญ่หลายแห่งของรัฐบาลจีนได้พากันเทขายสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐและเข้าซื้อเงินหยวนในตลาดสปอตออนชอร์และออฟชอร์ ในช่วงเช้าเมื่อวานนี้ โดยมีเป้าหมายที่จะพยุงค่าเงินหยวน ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวส่งผลให้ค่าเงินหยวนในตลาดสปอตออนชอร์และออฟชอร์ปรับตัวสูงขึ้น
- IMF ระบุว่า ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ควรสกัดคาดการณ์เงินเฟ้อไม่ให้หลุดจากการควบคุมและพุ่งสูงขึ้น ผ่านการเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่อง โดยการคุมเข้มนโยบายการเงินเพิ่มเติมในระยะใกล้จะช่วยป้องกันให้ไม่ต้องใช้มาตรการที่มีผลข้างเคียงมากกว่าเดิมในภายหลัง เพื่อฉุดเงินเฟ้อกลับสู่เป้าหมาย
ข่าวเกี่ยวกับตลาดหุ้นและเศรษฐกิจ
- ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกติดต่อกันเป็นวันที่ 12 ในวันอังคาร ซึ่งเป็นช่วงขาขึ้นที่ยาวนานที่สุดในรอบ 6 ปีหรือนับตั้งแต่เดือนก.พ. 2560 โดยนักลงทุนยังคงเข้าซื้อหุ้นอย่างต่อเนื่อง ก่อนที่บริษัทจดทะเบียนรายใหญ่จะเปิดเผยผลประกอบการ ซึ่งรวมถึงบริษัทไมโครซอฟท์ ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตาผลการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)
- ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 35,438.07 จุด เพิ่มขึ้น 26.83 จุด หรือ +0.08%
- ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,567.46 จุด เพิ่มขึ้น 12.82 จุด หรือ +0.28%
- ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 14,144.56 จุด เพิ่มขึ้น 85.69 จุด หรือ +0.61%
- ที่ประชุมคณะกรรมการถาวรประจำกรมการเมืองแห่งพรรคคอมมิวนิสต์จีน (โปลิตบูโร) ซึ่งนำโดยประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ส่งสัญญาณใช้มาตรการเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนภาคอสังหาริมทรัพย์ พร้อมกับให้คำมั่นว่าจะปรับนโยบายต่าง ๆ อย่างเหมาะสมเพื่อฟื้นฟูภาคอสังหาริมทรัพย์ ขณะเดียวกันก็จะเร่งสร้างเสถียรภาพของการจ้างงานเพื่อบรรลุเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ ควบคู่ไปกับการกระตุ้นอุปสงค์การอุปโภคบริโภค และแก้ไขปัญหาหนี้สินของรัฐบาลท้องถิ่น
- ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 117.0 ในเดือนก.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.ค.2564 และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 111.8 จากระดับ 110.1 ในเดือนมิ.ย. โดยแรงหนุนจากตลาดแรงงานที่แข็งแกร่ง
- ดัชนีเอสแอนด์พี โกลบอล สำหรับผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) โดยรวมของอังกฤษอยู่ที่ 50.7 ในเดือนก.ค. โดยร่วงลงจาก 52.8 ในเดือนมิ.ย. ซึ่งถือเป็นการดิ่งลงรายเดือนครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 11 เดือน และระดับ 50.7 นี้ถือเป็นจุดต่ำสุดในรอบ 6 เดือน หรือจุดต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนม.ค.
ข่าวเกี่ยวกับน้ำมัน
- สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกในวันอังคาร ขานรับข่าวรัฐบาลจีนประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมทั้งการคาดการณ์ที่ว่าอุปทานน้ำมันในตลาดโลกจะเผชิญภาวะตึงตัว
- สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ย. เพิ่มขึ้น 89 เซนต์ หรือ 1.1% ปิดที่ 79.63 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 18 เม.ย. 2566
- สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนก.ย. เพิ่มขึ้น 90 เซนต์ หรือ 1.1% ปิดที่ 83.64 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 18 เม.ย. 2566
- สัญญาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวขึ้นติดต่อกันเป็นวันที่ 4 และปิดที่ระดับสูงสุดในรอบ 3 เดือนหรือนับตั้งแต่วันที่ 18 เม.ย. 2566 หลังจากที่ประชุมคณะกรรมการถาวรประจำกรมการเมืองแห่งพรรคคอมมิวนิสต์จีน (โปลิตบูโร) ซึ่งนำโดยประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ส่งสัญญาณใช้มาตรการเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนภาคอสังหาริมทรัพย์ รวมทั้งเร่งสร้างเสถียรภาพของการจ้างงาน ควบคู่ไปกับการกระตุ้นอุปสงค์การอุปโภคบริโภค และแก้ไขปัญหาหนี้สินของรัฐบาลท้องถิ่น
ข่าวเกี่ยวกับการเมืองและการเมืองระหว่างประเทศ
- เกาหลีเหนือกำลังวางแผนจัดงานเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสครบรอบ 70 ปีการสงบศึกสงครามเกาหลีในสัปดาห์นี้ โดยจะมีนักการทูตจีนเข้าร่วมด้วย ซึ่งนับเป็นชาวต่างชาติกลุ่มแรกที่จะเดินทางเยือนเกาหลีเหนือ นับตั้งแต่เกาหลีเหนือปิดพรมแดนป้องกันโรคโควิด-19 ในปี 2563
- สำนักข่าวเคซีเอ็นเอ (KCNA) ของเกาหลีเหนือประกาศว่า คณะผู้แทนจากกองทัพรัสเซียเตรียมเดินทางเยือนกรุงเปียงยางในสัปดาห์นี้ เพื่อเข้าร่วมงานเฉลิมฉลองวันครบรอบการสงบศึกสงครามเกาหลีในวันที่ 27 ก.ค.
- เกาหลีเหนือยิงขีปนาวุธแบบทิ้งตัวพิสัยสั้นจำนวน 2 ลูกลงสู่ทะเลนอกชายฝั่งตะวันออกเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลให้ความตึงเครียดระหว่างเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ รวมทั้งญี่ปุ่น ทวีความรุนแรงมากขึ้น
ข่าวเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทยและค่าเงินบาท
- นักบริหารการเงิน เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 34.45 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 34.51 บาทต่อดอลลาร์ มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.35-34.60 บาทต่อดอลลาร์ ในช่วงก่อนรับรู้ผลการประชุม FOMC
- ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารทหารไทยธนชาต (TTB) กล่าวว่า การเติบโตของประเทศไทยในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา ส่วนใหญ่มาจากการบริโภค แต่เป็นการบริโภคที่เกิดจากการกู้มาใช้จ่าย ทำให้มาพร้อมกับภาระหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้น ซึ่งประเทศไทยถือว่ามีหนี้ภาคครัวเรือนสูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก โดยสัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ยังอยู่ในระดับสูง และหนี้ที่มาจากธุรกิจเอสเอ็มอีก็ยังเพิ่มขึ้น ทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ต้องออกมาตรการมาดูแล เพราะการบริโภคที่เกิดจากการกู้มาจับจ่ายไม่เกิดความยั่งยืนต่อเศรษฐกิจ
- KKP Research โดยกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร ประเมินว่า ภาคอสังหาริมทรัพย์ไทย มีแนวโน้มชะลอตัวลงในระยะข้างหน้า เนื่องจากเป็นหนึ่งในธุรกิจที่จะได้รับผลกระทบโดยตรง จากการก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ และการหดตัวลงของจำนวนประชากรที่จะเริ่มต้นในปี 2573 ตามการการคาดการณ์ของ UN
ที่มาจาก : Reuters, Infoquest, BangkokBizNews
Tags : ข่าวทอง, ข่าวทอง , ทอง , ราคาทอง