• สรุปข่าวราคาทองคำ ประจำวันที่ 17 มกราคม 2566

    17 มกราคม 2566 | Gold News


ข่าวเกี่ยวกับทองคำ


  • ราคาทองคำตลาดโลก ปรับตัวลดลง -4.59 เหรียญ หรือ -0.24% อยู่ที่ระดับ 1,915.66 เหรียญ
  • กองทุนทองคำ SPDR วันก่อนหน้าไม่เปลี่ยนแปลง ปัจจุบันถือครองที่ 912.14 ตันภาพรวมเดือนมกราคม ขายสุทธิ 5.5 ตัน ขณะที่ปีนี้ ตั้งแต่ 1 ม.ค. - ปัจจุบัน ขายสุทธิ 5.5 ตัน


  • นักวิเคราะห์ที่ได้รับการสำรวจโดยสำนักข่าวรอยเตอร์คาดการณ์ว่า ราคาทองคำจะพุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่เหนือระดับ 2,000 ดอลลาร์/ออนซ์ในปีนี้ แม้จะเผชิญกับความผันผวนเล็กน้อย โดยคาดว่าราคาทองจะได้แรงหนุนจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีแนวโน้มชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และหยุดวงจรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย


  • นักวิเคราะห์ของ Tastylive กล่าวว่า ตลาดมีความเห็นว่าวงจรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดกำลังชะลอตัวและอาจสิ้นสุดลงในไม่ช้า ซึ่งช่วยสนับสนุนต่อราคาทองคำ


  • อินเดียนำเข้าทองคำเดือนธ.ค. 65 ลดลง 79% จากปีก่อนหน้า แตะระดับต่ำสุดในรอบอย่างน้อย 2 ทศวรรษสำหรับเดือนธ.ค. เนื่องจากราคาทองคำในประเทศเคลื่อนไหวใกล้ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ส่งผลให้อุปสงค์ลดน้อยลง


ข่าวเกี่ยวกับค่าเงิน และธนาคารกลาง


  • ดัชนีดอลลาร์ ปรับตัวขึ้น 0.14 จุด หรือ 0.14% มาอยู่ที่ระดับ 102.32 จุด
  • อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ปรับตัวขึ้น 0.03 % มาอยู่ที่ระดับ 3.538% ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 2 ปี ปรับตัวขึ้น 0.01 % มาอยู่ที่ระดับ 4.249% โดยที่ส่วนต่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ 10 ปี น้อยกว่า 2 ปี เท่ากับ-0.71% อยู่ในภาวะ inverted yield curve


  • ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) เผยว่า ราคาค้าส่งของญี่ปุ่นในเดือนธ.ค.เพิ่มขึ้น 10.2% เมื่อเทียบรายปี ทำให้เป็นการเพิ่มขึ้นในระดับเลขสองหลักอีกครั้ง เนื่องจากเงินเยนที่อ่อนค่าลงทำให้ต้นทุนการนำเข้าวัตถุดิบเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง


  • ตลาดการเงินทั่วโลกจับตาผลการประชุมของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ในวันพุธที่ 18 ม.ค.นี้ ขณะที่เทรดเดอร์คาดการณ์ว่า คณะกรรมการ BOJ อาจจะปรับนโยบายควบคุมเส้นอัตราผลตอบแทน (Yield Curve Control – YCC) อีกครั้งในการประชุมครั้งนี้ หรืออาจจะประกาศยกเลิกนโยบาย YCC หลังจากที่ BOJ เคยปรับนโยบาย YCC ไปแล้วด้วยการขยายกรอบอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นในการประชุมเมื่อวันที่ 20 ธ.ค. 2565


ข่าวเกี่ยวกับตลาดหุ้นและเศรษฐกิจ


  • นักวิเคราะห์ตลาดหุ้นสหรัฐระบุว่า นักลงทุนในสหรัฐบางรายกำลังมองหาโอกาสในการลงทุนในหุ้นต่างประเทศซึ่งให้อัตราผลตอบแทนที่ดีกว่าหุ้นสหรัฐในช่วงไม่กี่เดือนข้างหน้า โดยนักลงทุนกลุ่มนี้คาดว่าหุ้นยุโรปและหุ้นประเทศอื่น ๆ อาจจะมีมูลค่าที่น่าดึงดูดกว่า


  • กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ระบุว่า การแบ่งขั้วทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นรุนแรงทั่วโลก หลังจากที่โลกเคยขับเคลื่อนด้วยระบบโลกาภิวัตน์ตลอดช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมานั้น อาจบั่นทอนตัวเลข GDP โลกสูงถึง 7% โดยอาจบั่นทอน 8% – 12% ในบางประเทศ หากมีการแบ่งแยกทางเทคโนโลยีร่วมด้วย


  • เอชเอสบีซี โฮลดิงส์ กล่าวว่า การเปิดประเทศของจีนจะเป็นแรงกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจทั่วโลก โดยจีนซึ่งเป็นประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่อันดับสองของโลกนั้น การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของยอดการใช้จ่ายในภาคครัวเรือนและการลงทุนจะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยพยุงการค้าโลก โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่อุปสงค์ในกลุ่มชาติตะวันตกเผชิญกับความไม่แน่นอน


  • บลูมเบิร์ก ชี้ว่า เกือบทั้ง 31 มณฑลของจีน รวมถึงขุมพลังทางเศรษฐกิจอย่างเจ้อเจียงและชานตง คาดว่าเศรษฐกิจของตนในปีนี้จะขยายตัวขึ้นระหว่าง 5-6.5% เมื่อเทียบจากปีที่แล้ว อย่างไรก็ตาม แม้การเปิดประเทศเร็วขึ้นหลังเลิกใช้นโยบายซีโร่โควิดคาดว่าจะกระตุ้นแนวโน้มทางเศรษฐกิจในปีนี้ แต่มีถึง 23 มณฑลที่ตั้งเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจในปีนี้น้อยลงจากปีที่แล้ว


  • การส่งออกชิปวงจรรวม (IC) ของไต้หวันเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นปีที่ 7 ในปี 2565 ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านเศรษฐกิจในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ที่กำลังได้รับผลกระทบจากความตึงเครียดระหว่างสหรัฐ-จีนและห่วงโซ่อุปทานที่หลากหลาย


  • รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังออสเตรเลีย เปิดเผยว่า อัตราการจ้างงานในออสเตรเลียเติบโตแซงหน้าทุกประเทศในกลุ่ม G7 ในช่วง 6 เดือนจนถึงเดือนพ.ย. 2565 โดยการสำรวจยังพบอีกว่าการจ้างงานมีแนวโน้มที่จะยังคงแข็งแกร่งในเดือนสุดท้ายของปีที่แล้ว


ข่าวเกี่ยวกับน้ำมันและพลังงาน


  • ตลาด NYMEX ปิดทำการในวันจันทร์ที่ 16 ม.ค.เนื่องในวันมาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ ส่วนราคาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาดกรุงลอนดอนดิ่งลงในวันจันทร์ แต่ยังคงเคลื่อนตัวอยู่ใกล้จุดสูงสุดของเดือนนี้ ในขณะที่การผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรคโควิด-19 ในจีนช่วยกระตุ้นความคาดหวังที่ว่า อุปสงค์น้ำมันในจีนจะฟื้นตัวขึ้น


  • ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนมี.ค.ที่ตลาดกรุงลอนดอนร่วงลง 82 เซนต์ หรือ 0.96% มาปิดตลาดที่ 84.46 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังจากพุ่งขึ้นแตะ 85.59 ดอลลาร์ในระหว่างวัน ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 3 ม.ค.


  • ปริมาณการนำเข้าน้ำมันดิบในจีนพุ่งขึ้น 4% ในเดือนธ.ค.เมื่อเทียบรายปี และมีการคาดการณ์กันว่าจะมีประชาชนจำนวนมากในจีนออกเดินทางในช่วงเทศกาลตรุษจีนในช่วงปลายสัปดาห์นี้ และปัจจัยดังกล่าวจะส่งผลบวกต่อแนวโน้มอุปสงค์เชื้อเพลิง ทั้งนี้ นายบาร์ท เมเลค หัวหน้าฝ่ายแผนยุทธศาสตร์ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ของบล.ทีดีกล่าวว่า "ตลาดน้ำมันได้รับผลกระทบเป็นอย่างมากจากการคาดการณ์ที่ว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจในจีนจะส่งผลให้อุปสงค์น้ำมันเพิ่มขึ้น โดยอุปสงค์น้ำมันในจีนอาจจะเพิ่มขึ้นราว 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน"


ข่าวเกี่ยวกับการเมืองและการเมืองระหว่างประเทศ


  • รัสเซียและเบลารุสเริ่มปฏิบัติการซ้อมรบร่วมทางอากาศ ซึ่งก่อให้เกิดความกังวลในยูเครนและกลุ่มชาติตะวันตกว่า รัสเซียอาจใช้เบลารุสเป็นฐานที่มั่นแห่งใหม่ในการจู่โจมยูเครน


  • คณะมนตรีความมั่นคงแห่งเบลารุสแถลงยืนยันว่า การที่เบลารุสร่วมซ้อมรบทางอากาศกับรัสเซียซึ่งมีกำหนดจะเริ่มขึ้นในสัปดาห์หน้า เป็นการป้องกันประเทศอย่างแท้จริง และจะมุ่งเน้นไปที่ภารกิจลาดตระเวนและการสกัดการโจมตีที่อาจเกิดขึ้น

ข่าวเกี่ยวกับโรคระบาด


  • ชาวจีนจำนวนมากหอบหิ้วกระเป๋าเสื้อผ้าหลั่งไหลกันไปยังสถานีรถไฟและสนามบินตามเมืองใหญ่ของจีน เพื่อเดินทางกลับบ้านเกิดในช่วงเทศกาลตรุษจีน โดยผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพต่างวิตกกังวลว่า ช่วงเวลาแห่งการเดินทางนี้จะทำให้โรคโควิด-19 แพร่ระบาดรุนแรงมากยิ่งขึ้นในพื้นที่ที่ขาดแคลนอุปกรณ์รับมือ


  • ทีมนักวิจัยท้องถิ่นจีนเปิดเผยว่า มีชาวจีนราว 900 ล้านคน หรือ 64% ของประชากรทั้งหมดที่ติดเชื้อโควิด-19 นับตั้งแต่ที่เริ่มระบาดเมื่อวันพุธ


  • องค์การอนามัยโลก (WHO) เรียกร้องให้จีนเปิดเผยข้อมูลสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศเพิ่มเติม หลังจากที่จีนรายงานเมื่อวันเสาร์ที่ 14 ม.ค.ว่า ตรวจพบผู้เสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับโรคโควิด-19 เกือบ 60,000 ราย นับตั้งแต่ช่วงต้นเดือนธ.ค. 2565


ข่าวเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทยและค่าเงินบาท


  • นักบริหารการเงิน เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ  33.02 บาทต่อดอลลาร์อ่อนค่าลงเล็กน้อยจากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 32.99 บาทต่อดอลลาร์ มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.85-33.10 บาทต่อดอลลาร์


  • ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า สงครามเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐฯ และจีน จะทำให้ภูมิทัศน์ของห่วงโซ่อุปทานทางเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงเร็วขึ้น ซึ่งไทยควรเร่งปรับตัวเพื่อรับมือกับผลกระทบ และใช้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น 

 

ที่มาจาก : Reuters, Infoquest, BangkokBizNews

Tags : ข่าวทอง, ข่าวทอง , ทอง , ราคาทอง


 


บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com