• สรุปข่าวราคาทองคำ ประจำวันที่ 23 กันยายน 2565

    23 กันยายน 2565 | Gold News

ข่าวเกี่ยวกับทองคำ



  • สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกติดต่อกันเป็นวันที่ 2 ในวันพฤหัสบดี โดยนักลงทุนยังคงเดินหน้าซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับวิกฤตการณ์ในยูเครน หลังจากประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ประกาศระดมกำลังพลเพื่อยกระดับการทำสงครามกับยูเครน


  • ราคาทองคำตลาดโลก ปรับตัวลดลง -2.62 เหรียญ หรือ -0.16% มาอยู่ที่ระดับ 1,671.07 เหรียญ
  • สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 5.4 ดอลลาร์ หรือ 0.32% ปิดที่ 1,681.1 ดอลลาร์/ออนซ์
  • สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 13.7 เซนต์ หรือ 0.7% ปิดที่ 19.617 ดอลลาร์/ออนซ์
  • กองทุนทองคำ SPDR วันก่อนหน้าขายออก 2.03 ตัน ปัจจุบันถือครองที่ 950.13 ตันภาพรวมเดือนกันยายน ขายสุทธิ 23.24 ตัน ขณะที่ปีนี้ ตั้งแต่ 1 ม.ค. - ปัจจุบัน ขายสุทธิ 25.53 ตัน


  • นักวิเคราะห์อาวุโสจากโอแอนดา (OANDA) ระบุว่า การที่เฟดส่งสัญญาณเข้มงวดทางการเงิน ซึ่งส่งผลให้ภาพรวมของแนวโน้มเศรษฐกิจดูแย่ลง และในที่สุดอาจส่งผลให้นักลงทุนกลับมาสนใจทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย อย่างไรก็ตาม ราคาทองคำยังคงอ่อนไหวต่อแรงขายจากการที่เงินเฟ้อยังไม่มีทีท่าว่าจะอ่อนตัวลง แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อจะทรงตัวก็ตาม


  • นักกลยุทธ์ค่าเงินจาก DailyFX ระบุว่า คณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐตั้งความคาดหวังให้กับตลาดว่า ยังคงช่องว่างให้สามารถปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อไปได้ และนั่นไม่ใช่ภาวะแวดล้อมที่สนับสนุนราคาทองคำ


  • เทรดเดอร์ของบริษัทเฮแรอุส พรีเชียส เมทัลส์ ระบุว่า "ถึงแม้ราคาทองอาจจะมีแนวรับระยะสั้นอยู่ที่ 1,655 ดอลลาร์ ราคาทองก็จะเผชิญกับอุปสรรคในการปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเฟดส่งสัญญาณอย่างชัดเจนว่า เฟดจะยังคงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป"

 

ข่าวเกี่ยวกับค่าเงิน และธนาคารกลาง



  • ดัชนีดอลลาร์  ปรับตัวลดลง -0.24 จุด หรือ -0.22% มาอยู่ที่ระดับ 111.24 จุด
  • อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี  ปรับตัวขึ้น 0.184% มาอยู่ที่ระดับ 3.716% ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 2 ปี  อยู่ที่ระดับ 4.124% และส่วนต่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ 10 ปี น้อยกว่า 2 ปี เท่ากับ อยู่ที่ระดับ -0.408%


  • ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) มีมติคงนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายเป็นพิเศษ ในการประชุมเมื่อวานนี้ ซึ่งสอดคล้องกับการคาดการณ์ของตลาด แต่สวนทางกับธนาคารกลางอื่น ๆ ทั่วโลกที่พากันใช้นโยบายคุมเข้มด้านการเงินเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ โดยบีโอเจ มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ -0.1% และผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีที่ 0% ซึ่งเป็นไปตามที่นักวิเคราะห์คาดไว้ และบีโอเจยังตัดสินใจทยอยปิดโครงการสินเชื่อเพื่อเยียวยาผลกระทบจากโรคระบาด และจะขยายปฏิบัติการสภาพคล่องที่เล็งเป้าหมายไปที่ความต้องการเงินทุนของภาคเอกชนในกรอบที่กว้างขึ้นแทน


  • เงินเยนอ่อนค่าลงรุนแรงที่สุดในรอบ 24 ปีเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐในช่วงเช้าเมื่อวานนี้ หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศขึ้นดอกเบี้ย 0.75% และธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ยังคงใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายเป็นพิเศษ 


  • ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างน้อย 0.50% สู่ระดับ 2.25% จากเดิมอยู่ที่ 1.75% โดยเป็นการปรับขึ้นดอกเบี้ยติดต่อกันเป็นครั้งที่ 7 เพื่อสกัดเงินเฟ้อที่เคลื่อนไหวใกล้ระดับสูงสุดในรอบเกือบ 40 ปี และรายงานเงินเฟ้อของสหราชอาณาจักรในเดือนสิงหาคมอยู่ที่ระดับ 9.9% เมื่อเทียบรายปี โดยที่ส่วนใหญ่เกิดจากราคาอาหารและพลังงานปรับตัวขึ้นสูง ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเดือนสิงหาคมอยู่ที่ระดับ 6.3% เมื่อเทียบรายปี


  • ธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.75% สู่ระดับ 0.5% จากระดับ -0.25% ในวันนี้ โดยมีเป้าหมายที่จะสกัดเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 30 ปี


  • ธนาคารกลางฮ่องกง (HKMA) ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.75% เป็น 3.5% ในวันนี้ ซึ่งเป็นการปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งที่ 5 แล้ว เพื่อรักษาค่าเงินดอลลาร์ฮ่องกงซึ่งผูกกับดอลลาร์สหรัฐ


  • นักยุทธศาสตร์การลงทุนสกุลเงินของธนาคารบาร์เคลย์สกล่าวว่า "ดอลลาร์สหรัฐได้รับแรงหนุนทั้งจากรายงานคาดการณ์ของเฟด และจากข่าวรัสเซีย โดยดอลลาร์แข็งค่าขึ้นมากเป็นพิเศษเมื่อเทียบกับยูโรและสกุลเงินอื่น ๆ ในยุโรป" และเขากล่าวเสริมว่า "สกุลเงินของประเทศผู้ส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์ได้รับแรงกดดันอย่างรุนแรงด้วยเช่นกัน เนื่องจากนักลงทุนลดความต้องการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง"


  • นักเศรษฐศาสตร์ของโกลด์แมน แซคส์ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์อัตราการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) หลังจากเฟดประกาศขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.75% ในการประชุมเมื่อวันพุธที่ผ่านมา และนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟดส่งสัญญาณปรับขึ้นดอกเบี้ยเชิงรุกต่อไปเพื่อสกัดเงินเฟ้อ โดย

  • ทีมนักเศรษฐศาสตร์ต่างคาดการณ์ว่า เฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.75% ในการประชุมเดือนพ.ย., ปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.50% ในเดือนธ.ค. และปรับขึ้น 0.25% ในเดือนก.พ.ปีหน้า ซึ่งจะส่งผลให้กรอบอัตราดอกเบี้ยของเฟดเพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงสุดที่ 4.5%-4.75% เพิ่มขึ้นจากคาดการณ์เดิมที่ระดับ 4%-4.25%

 

 

ข่าวเกี่ยวกับตลาดหุ้นและเศรษฐกิจ



  • ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบติดต่อกันเป็นวันที่ 3 ในวันพฤหัสบดี เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบจากการเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เป็นปัจจัยกดดันให้นักลงทุนเทขายหุ้นออกมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งรวมถึงหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี


  • ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 30,076.68 จุด ลดลง 107.10 จุด หรือ -0.35%,
  • ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,757.99 จุด ลดลง 31.94 จุด หรือ -0.84% และ
  • ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 11,066.81 จุด ลดลง 153.39 จุด หรือ -1.37%


  • ธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (ADB) ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของอินเดียในช่วงเวลาที่เหลือของปีงบประมาณนี้ (เม.ย. 2565 – มี.ค. 2566) ลงสู่ระดับ 7% จาก 7.5% ที่เคยคาดการณ์ไว้ในเดือนเม.ย.


  • นักวิเคราะห์จากดอยซ์แบงก์คาดการณ์ว่า ตัวเลขเงินเฟ้อของอินเดียจะพุ่งขึ้นแตะระดับ 7.4% ในเดือนก.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 5 เดือน และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นสูงกว่าระดับดังกล่าวหากราคาอาหารและผักปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องในเดือนนี้

 

ข่าวเกี่ยวกับน้ำมันและพลังงาน



  • สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกในวันพฤหัสบดี โดยได้แรงหนุนจากความต้องการใช้น้ำมันในจีนที่เริ่มฟื้นตัว รวมทั้งการคาดการณ์ที่ว่าอุปทานน้ำมันจะเผชิญภาวะตึงตัว อันเนื่องมาจากการที่รัสเซียประกาศยกระดับการทำสงครามกับยูเครน


  • สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ย. เพิ่มขึ้น 55 เซนต์ หรือ 0.7% ปิดที่ 83.49 ดอลลาร์/บาร์เรล
  • สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนพ.ย. เพิ่มขึ้น 63 เซนต์ หรือ 0.7% ปิดที่ 90.46 ดอลลาร์/บาร์เรล


  • บริษัทโรงกลั่นน้ำมันขนาดใหญ่ของรัฐในประเทศจีน 3 แห่ง และบริษัทโรงกลั่นน้ำมันเอกชนจีนขนาดใหญ่ 1 แห่ง พิจารณาปรับเพิ่มกำลังการผลิตในเดือนตุลาคมขึ้น 10% จากเดือนกันยายน สะท้อนถึงความต้องการพลังน้ำมันที่มากขึ้นในจีนและมีโอกาสส่งออกน้ไมันเชื่อเพลิงมากขึ้น


  • จีนลดการนำเข้าน้ำมันดิบ แต่กลับเพิ่มสต็อกสำรองน้ำมันดิบอย่างต่อเนื่องจากการที่การนำเข้าน้ำมันและการผลิตน้ำมันในประเทศมากเกินกว่ากำลังกลั่นน้ำมันในประเทศ


  • คณะกรรมการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติ (NDRC) ของจีนประกาศว่า รัฐบาลจีนจะปรับลดราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินและดีเซลในเมื่อวานนี้ โดยราคาน้ำมันเบนซินและดีเซลจะถูกปรับลดลง 290 หยวน (ประมาณ 41.71 ดอลลาร์สหรัฐ) ต่อตัน และ 280 หยวน/ตันตามลำดับ ทั้งนี้ ภายใต้กลไกการกำหนดราคาในปัจจุบันของจีนนั้น หากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกเปลี่ยนแปลงมากกว่า 50 หยวนต่อตันและยังคงอยู่ที่ระดับดังกล่าวเป็นเวลา 10 วันทำการ ราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันกลั่น อาทิ น้ำมันเบนซินและดีเซลในจีนก็จะถูกปรับราคาตามไปด้วย


  • สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงาน (EIA) ของรัฐบาลสหรัฐเปิดเผยว่า ปริมาณการนำเข้าและส่งออกน้ำมันดิบของสหรัฐเพิ่มขึ้นในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 16 ก.ย. โดยในรายงานระบุว่า ในสัปดาห์ที่ผ่านมา สหรัฐนำเข้าน้ำมันดิบเฉลี่ย 6.947 ล้านบาร์เรล/วัน เพิ่มขึ้น 1.155 ล้านบาร์เรล/วันเมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้า ขณะที่ส่งออกน้ำมันดิบเฉลี่ย 3.54 ล้านบาร์เรล/วัน เพิ่มขึ้น 25,000 บาร์เรล/วันจากสัปดาห์ก่อนหน้า

 

ข่าวเกี่ยวกับการเมืองและการเมืองระหว่างประเทศ



  • นายจอห์น เคอร์บี โฆษกสภาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐระบุว่า การที่ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซียสั่งระดมกำลังพลจำนวน 300,000 นาย เป็นสัญญาณว่ารัสเซียกำลังเผชิญปัญหาในการทำสงครามยูเครน


  • สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ปธน.ปูตินยกประเด็นนิวเคลียร์ขึ้นมาข่มขู่อีกครั้ง ทำให้หลายฝ่ายวิตกกังวลว่า รัสเซียอาจใช้การทำประชามติผนวกดินแดนยูเครนเป็นข้ออ้างในการตอบโต้ยูเครน เสมือนว่าไม่ได้โจมตีดินแดนต่างชาติ แต่เป็นการโจมตีดินแดนในเขตอธิปไตยรัสเซีย


  • เกาหลีเหนือเปิดเผยว่า เกาหลีเหนือไม่เคยจัดหาอาวุธหรือกระสุนปืนให้กับรัสเซีย และไม่มีแผนการที่จะทำเช่นนั้นในอนาคต ทั้งนี้ เกาหลีเหนือได้เตือนให้สหรัฐหยุดกล่าวหาและหยุดเผยแพร่ข่าวลือดังกล่าว ซึ่งดูเหมือนจะเป็นการมุ่งเป้าทำลายภาพลักษณ์ของเกาหลีเหนือ


  • กระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่นระบุว่า รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของกลุ่ม G7 ยืนยันว่าจะร่วมมือกันสนับสนุนยูเครนในการต่อสู้กับรัสเซียต่อไป


  • ประธานาธิบดีโวโลดีเมียร์ เซเลนสกีแห่งยูเครนเรียกร้องให้เหล่าผู้นำโลกลงโทษรัสเซีย จากกรณียกพลบุกโจมตียูเครนต่อเนื่องนานหลายเดือน ในขณะขึ้นกล่าวถ้อยแถลงต่อที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ (UNGA) ในวันพุธที่ผ่านมา

         

ข่าวเกี่ยวกับโรคระบาด



  • สถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ในไทย พบผู้ติดเชื้อรายใหม่  752 ราย ทำให้มียอดผู้ติดเชื้อสะสม 4,677,090 ราย ยอดผู้ติดเชื้อนอกโรงพยาบาล (ATK) ระหว่างวันที่ 11-17 ก.ย.2565 จำนวน 95,966 ราย สะสม 8,035,983 ราย โดยมีผู้เสียชีวิตเพิ่มอีก 9 ราย ทำให้การระบาดระลอกใหม่ตั้งแต่เดือน ม.ค.2565 มียอดผู้เสียชีวิตสะสม 10,994 ราย ขณะที่ ภาพรวมของการเสียชีวิตจากสถานการณ์โควิด-19 มีผู้เสียชีวิตรวม 32,692 ราย


  • รัฐบาลฮ่องกงจะยกเลิกการบังคับใช้นโยบายกักตัวที่โรงแรมเพื่อป้องกันโรคโควิด-19 สำหรับนักเดินทางขาเข้าทุกคนตั้งแต่ต้นเดือนต.ค.นี้ หลังจากใช้มาตรการดังกล่าวมานานกว่า 2 ปีครึ่ง โดยคาดการณ์ว่า รัฐบาลฮ่องกงจะประกาศเรื่องดังกล่าวต่อสาธารณชนในสัปดาห์หน้า


  • รัฐบาลไต้หวันอาจยกเลิกมาตรการกักตัว 3 วันสำหรับนักเดินทางขาเข้าในช่วงกลางเดือนต.ค. หากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในไต้หวันยังคงบรรเทาลงอย่างต่อเนื่อง หลังไต้หวันตั้งเป้าจะเปิดพรมแดนต้อนรับนักท่องเที่ยวอีกครั้งเช่นเดียวกับประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค

 


ข่าวเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทยและค่าเงินบาท



  • นักบริหารการเงิน เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ที่ระดับ 37.35 บาทต่อดอลลาร์แข็งค่าขึ้นจากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 37.40 บาทต่อดอลลาร์ มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 37.20-37.45 บาทต่อดอลลาร์


  • สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) เผยยอดขายรถยนต์ภายในประเทศทั้งระบบในเดือนส.ค. อยู่ที่ 68,208 คัน เพิ่มขึ้น 61.72% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เทียบกับเดือนก.ค. อยู่ที่ 64,033 คัน เพิ่มขึ้น 22.10%


  • "ประวิตร" ปัดแทรกแซงค่าเงินบาท ย้ำแค่ให้ทีมเศรษฐกิจไปดูความเหมาะสม


  • กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทมีความผันผวนจากหลากหลายปัจจัย โดยค่าเงินบาทที่อ่อนค่าในปัจจุบันมองว่าเป็นผลกระทบจากการไหลเข้าของเงินภาคบริการและการท่องเที่ยวที่ยังไม่เต็มที่ ซึ่งหากประเทศต่างๆสามารถเปิดให้เดินทางได้อย่างเต็มที่จะเป็นปัจจัยหนุนให้นักท่องเที่ยวเริ่มเดินทางกลับเข้ามาในประเทศไทย ทำให้ภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัว ซึ่งจะทำให้เงินบาทค่อยๆ แข็งค่ากลับขึ้นมาได้ แต่อย่างไรก็ตามยังต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง

  • นอกจากนั้น เงินบาทอ่อนค่ายังมาจากการขาดดุลการค้า แต่จะเห็นได้ว่าในช่วงที่ผ่านมากการส่งออกสามารถฟื้นตัวขึ้นมาได้อย่างต่อเนื่อง และ เงินจากต่างประเทศไหลเข้ามาสู่ภาคบริการ การท่องเที่ยว ที่มีทิศทางฟื้นตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งจะเห็นการฟื้นตัวอย่างชัดเจนในช่วงครึ่งปีหลัง

 

 

ที่มาจาก : Reuters, Infoquest, CNBC

 


บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com