• สรุปข่าวราคาทองคำ (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 13 พฤศจิกายน 2563

    13 พฤศจิกายน 2563 | Gold News

ราคาทองคำปิดแดนบวก จากกังวลไวรัสโคโรนาและตลาดลดการตอบรับข่าววัคซีน

·         ราคาทองคำปิดปรับตัวขึ้นหลังจากที่ร่วงลงกว่า 1% ในวันก่อน โดยได้รับอานิสงส์จาก
- ความกังวลเรื่องเศรษฐกิจชะลอตัวมากขึ้น
- ยอดติดเชื้อไวรัสโคโรนาที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก


·         ราคาทองคำตลาดโลกปิด +0.3% ที่ระดับ 1,869.51 เหรียญ

 


·         สัญญาทองคำส่งมอบเดือนธ.ค. ปิด +0.03% ที่ระดับ 1,873.80 เหรียญ

·         รายงานอัพเดตล่าสุดพบว่า ในวันที่ 11 พ.ย. กองทุนทองคำ SPDR ทำการขายทองออกอีก 9.05 ตัน ปัจจุบันถือครองที่ระดับ 1,240.74 ตัน ซึ่งถือเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ช่วงปลายเดือนก.ย. และภาพรวมตั้งแต่วันที่ 2 – 11 พ.ย. SPDR ขายทองคำแล้ว 16.93 ตัน ซึ่งถือเป็นสถานการณ์ขายต่อเนื่อง 2 เดือน หลังจากที่เดือนต.ค. รวมขายสุทธิ 11.22 ตัน


อย่างไรก็ดี สถานะการถือครองของ SPDR ในปีนี้ รวมซื้อสุทธิ 347.49 ตัน เป็นระดับรวมรายปีที่สูงสุดรอบ 9 ปี ตั้งแต่ปี 2010


·         ข่าวความคืบหน้าเรื่องวัคซีน Covid-19 ดูจะส่งผลให้ภาพรวมสัปดาห์นี้ทองคำปรับตัวลดลงไม่น้อยกว่า 4.2%


·         นักกลยุทธ์ค่าเงินจาก DailyFX กล่าวว่า เหล่าเทรดเดอร์พยายามกลับถือครองสถานะในตลาดทองอีกครั้งจากเชื้อไวรัสที่เพิ่มขึ้นอย่างมากบดบังข่าวเชิงบวกของวัคซีน เพราะถึงแม้จะวัคซีนจะส่งผลตอ่แนวโน้มของทองคำในระยะกลาง และระยะยาว แต่การมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และภาวะเศรษฐกิจที่ไม่สดใสก็ยังเป็นปัจจัยบวกต่อราคาทองคำได้อยู่


·         นางคริสติน ลาการ์ด  ประธานอีซีบี ส่งสัญญาณสนับสนุนทางเศรษฐกิจเพิ่มเติมจากยอดติดเชื้อในยุโรปที่เพิ่มขึ้น และคาดอาจพุ่งสูงอย่างหนักในช่วงฤดูหนาวนี้

·         หัวหน้านักกลยุทธ์จาก CMC Markets กล่าวว่า ในความเป็นจริงแล้วราคาทองคำยังคงยืนได้เหนือ 1,850 – 1,860 เหรียญ แต่หากทองคำหลุดลงมาก็อาจส่งผลให้ตลาดกลายเป็นทิศทางขาลงได้

·         ราคาซิลเวอร์อ่อนตัวลง 0.1% ที่ระดับ 24.23 เหรียญ

·        ราคาแพลทินัมปรับขึ้น 0.1ที่ 866.25 เหรียญ 

·        ราคาพลาเดียมปรับขึ้น 0.8% ที่ 2,333.53 เหรียญ

 

·         CORONAVIRUS UPDATES:

 

 

ยอดติดเชื้อไวรัสโคโรนาทั่วโลกเพิ่ม 607,821 ราย ล่าสุดทะลุ 53 ล้านราย  ขณะที่ยอดเสียชีวิตสะสมใกล้แตะ 1.3 ล้าน (ล่าสุดอยู่ที่ 1.298 ล้านราย)

Worldometers เผย ยอดติดเชื้อในสหรัฐฯเพิ่มขึ้น 139,262 ราย รวมสะสมที่ 10.8 ล้านราย ขณะที่ยอดเสียชีวิตรายวันเพิ่ม 1,014 ราย รวมสะสมที่ 248,412 ราย

 

·         ยอดติดเชื้อไวรัสโคโรนาในสหรัฐฯยังพุ่งขึ้นต่อเนื่อง, รัฐชิคาโกแนะปฏิบัติตามมาตรการ Stay-at-Home ก่อนเทศกาล Thanksgiving จะมาถึงในวันที่ 26 พ.ย. นี้

 

·         แคลิฟอร์เนีย’ กลายเป็นรัฐที่สองของประเทศสหรัฐฯที่ยอดผู้ติดเชื้อสะสมทะลุ 1 ล้านราย หลังวานนี้รัฐเท็กซัสเป็นแห่งแรกที่ทะลุ 1 ล้าน

 

·         ดร.ฟาวซี ชี้ วัคซีนคือตัวช่วยเวลานี้” แต่สิ่งที่ยังไม่แน่ใจคือจะกำจัดโควิดได้สิ้นซากหรือไม่


 

·         ดร.สก็อต ก็อตท์เลียบ อดีตคณะกรรมาธิการองค์การอาหารและยาสหรัฐฯ (FDA) และเป็นผู้ให้การสนับสนุนสำนักข่าว CNBC กล่าวว่า “ยอดติดเชื้อไวรัสในสหรัฐฯน่าจะทำจุดพีคในเดือนม.ค. ปีหน้า”

 

โดยช่วง 2-3 เดือนจากนี้น่าจะเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากของสหรัฐฯ และดูเหมือนยอดติดเชื้อจะไล่ตามหลังยุโรปประมาณ 3 – 4 สัปดาห์ แต่ทิศทางการระบาดไปในทิศทางเดียวกัน และเรายังมีการเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรมที่ไม่เพียงพอหรือลดการเดินทาง รวมถึงการดำเนินมาตรการต่างๆเพื่อยุติแนวโน้มการระบาดได้

 

·         วัคซีนของ Moderna จะถูกเปิดเผยในเร็วๆนี้

การทดสอบวัคซีนของอีกหนึ่งบริษัทยารายใหญ่อย่าง Moderna “ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญ” ที่จะแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของวัคซีน  Covid-19

ขณะที่กลุ่มนักลงทุนต่างก็คาดหวังว่า วัคซีนดังกล่าวจะมีประสิทธิภาพสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากที่บริษัท Pfizer เผยความสำเร็จกว่า 90% ท่ามกลางการพัฒนาวัคซีนของทั้งสองบริษัทที่ดูเหมือนจะมีส่วนคล้ายคลึงกัน ที่เรียกว่าเทคโนโลยี messenger RNA หรือ mRNA

ผู้อำนวยการจาก Vaccine Education Center ประจำโรงพยาบาลเด็กสาขาฟิลาเดเฟีย กล่าวว่า การที่บริษัท Moderna อาจประกาศถึงประสิทธิภาพของไวรัสโคโรนา ก็ดูจะทำให้ตลาดรอแนวโน้มหรือรายละเอียดสำคัญๆ ที่อาจแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพในกลุ่มผู้สูงอายุ หรือกลุ่มคนเป้าหมาย

ความปลอดภัยของข้อมูลถือเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ที่ทางองค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ (FDA) ย้ำเน้น และคาดจะใช้เวลาไม่น้อยกว่า 2 เดือนเพื่อตรวจสอบข้อมูลด้านความปลอดภัยหลังจากได้รับรายงาน ก่อนจะทำการอนุมัติใช้เป็นกรณีฉุกเฉิน

 

·         “เพโลซี” – “แมคคอนเนล” เสียงแตกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ท่ามกลางผู้ติดเชื้อในสหรัฐฯที่ทำระดับสูงสุดใหม่ประวัติการณ์


·         สหรัฐฯจะเริ่มต้นปีงบประมาณ 20201 ด้วยยอดขาดดุลที่พุ่งกว่า 111ในเดือนต.ค. หรือมูลค่ารวมกว่า 2.84 แสนล้านเหรียญ ถือเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ของเดือนต.ค. ท่ามกลางการระบาดอย่างหนักของไวรัสโคโรนาและรายได้ที่ลดน้อยลง

 

·         สมาชิกพรรครพับลิกันส่วนใหญ่ เรียกร้องให้ “ทรัมป์” อนุญาตให้ “ไบเดน” เข้ารับข้อมูลสรุปจากหน่วยข่าวกรอง ท่ามกลางภาพรวมที่เห็นได้ชัดว่าพรรคเดโมแครตเป็นฝ่ายได้ครองชัยชนะในทำเนียบขาว ถึงแม้นายทรัมป์จะปฏิเสธและไม่ยอมรับถึงผลการเลือกตั้งก็ตาม

 

·         CNN รายงานว่า ศาลสูงสุดสหรัฐฯจะทำการยกคำร้องการค้านผลคะแนนเลือกตั้งของนายทรัมป์

 

·         เจ้าหน้าที่รัฐเพนซิลเวเนีย เรียกร้องให้ คณะผู้พิพากษายกคำร้องของนายทรัมป์ เกี่ยวกับผลการเลือกตั้ง ที่ดูจะเป็นการขัดขวางไม่ให้ทางรัฐทำการรับรองคะแนนเสียงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ

 

·         “ทรัมป์” ตัดสินใจครั้งสุดท้ายต่อการเลือกสมาชิกเฟด 2 รายเข้าสู่วุฒิสภาสหรัฐฯในสัปดาห์หน้า เพื่อเติมที่ว่างให้เต็ม

 

·         ทรัมป์” สั่งแบนการลงทุนบริษัทต่างๆ ที่ให้ความช่วยเหลือจีน

นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯคนปัจจุบัน ลงนามคำสั่งฉุกเฉิน โดยสั่งห้ามไม่ให้ชาวอเมริกาทำการลงทุนในบริษัทจีนกว่า 31 แห่ง ที่ทางทำเนียบขาวเชื่อว่าให้การสนับสนุนทางทหารของจีน  โดยคำสั่งดังกล่าวจะมีผลตั้งแต่เวลา 21.30น. ในวันที่ 12 ม.ค. ปี 2021 (ตามเวลาประเทศไทย)

 

รายชื่อบริษัทส่วนใหญ่ จะเป็นบริษัทรายใหญ่ของจีน ประกอบไปด้วย

บริษัทในกลุ่ม "อุตสาหกรรมอาวกาศ"

บริษัทในกลุ่ม "การก่อสร้าง"

บริษัทในกลุ่ม "เทคโนโลยี"

บริษัทในกลุ่ม "คมนาคม"

อาทิ Inspur Group, Huawei และ China Telecommuincations Corp เป็นต้น

 

นายแลรี่ คุดโลว์ สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจสหรัฐฯ และ นายโรเบิร์ต โอ'เบรียน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติ ก็ได้เรียกร้องให้ให้เกิดการยกเลิกการลงทุนในบริษัทจีน และชี้ให้เห็นถึงจุดมุ่งหมายของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ว่า "ต้องการปกป้องนักลงทุนสหรัฐฯที่ไม่มีเจตนาจะนำเงินลงทุนไปสู่การสนับสนุนทางการทหารของจีน หรือหน่วยข่าวกรองของจีน"

 

·         ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมยูโรโซนดิ่งเกินคาดในเดือน ก.ย.

ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมยูโรโซนปรับตัวลดลงเกินคาดในเดือนก.ย. แตะ 0.4% จากระดับ 6.8% เมื่อเทียบรายปี และถือเป็นการปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง 4 เดือนติด เพราะได้รับผลกระทบจากยอดคำสั่งซื้อสินค้าคงทนที่อ่อนแอ และปรับตัวลดลงกว่า 5.3% ในเดือนก.ย. ขณะที่การผลิตในกลุ่มพลังงานปรับลงไปประมาณ 1.0%

ขณะที่สินค้าอื่นๆที่ไม่ได้ถูกรวมในกลุ่ม อาทิ เสื้อผ้า ก็ปรับตัวลดลงประมาณ 2.1%

 

·         เจ้าหน้าที่อังกฤษ ชี้ อียูต้องแสดงความยืดหยุ่น โดยเฉพาะกรณี "ไอร์แลนด์เหนือ"

เจ้าหน้าที่ในการเจรจาอังกฤษ ระบุว่า อียูต้องแสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นเพื่อให้มั่นใจว่าจะเกิดข้อตกลงการค้าเสรีกับอังกฤษ โดยเฉพาะในส่วนกรณีข้อตกลงไอร์แลนด์เหนือ เพื่อให้ง่ายต่อการเคลื่อนย้ายสินค้าของพื้นที่อื่นๆที่อยู่ในอังกฤษ


·         เกิดเหตุมือปืนกราดยิงสถานทูตซาอุดีอาระเบียในเนเธอร์แลนด์ แต่ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ ขณะที่ตำรวจสามารถจับกุมผู้ต้องสงสัย 1 ราย เป็นชายวัย 40 ปี และเจ้าหน้าที่กำลังสอบสวนชายดังกล่าวเพื่อหาแรงจูงใจในการก่อเหตุครั้งนี้

 

·         มูลค่าตลาดหุ้นทั่วโลกเพิ่มสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 95 ล้านล้านเหรียญในสัปดาห์นี้ เหตุจากความหวัง “วัคซีน”

 

·         นักบริหารการเงิน ระบุว่า ค่าเงินบาทเช้านี้เปิดแข็งค่าลงมาเล็กน้อยที่ระดับ 30.24 บาท/ดอลลาร์ หลังจากที่เมื่อวานนี้ปิดที่ 30.28 บาท/ดอลลาร์ และคาดกรอบการเคลื่อนไวน่าจะอยู่ที่ 30.15 – 30.35 บาท/ดอลลาร์ อันเป็นผลจาก
- ตลาดการเงินที่ปิดรับความเสี่ยง
- ตลาดหุ้นสหรัฐฯ, น้ำมัน และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯปรับตัวลดลง
- ดอลลาร์อ่อนค่า กดดันเงินบาทแข็งค่าระยะสั้นๆ
- สกุลเงินใน
 Emerging Markets ทยอยฟื้นตัว
-
 Fund Flows จากนักลงทุนต่างชาติที่มีเม็ดเงินไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง


อย่างไรก็ดี นักลงทุนควรระวังการปรับฐานและการเปลี่ยนกลุ่มการลงทุนในช่วงท้ายปี และความผันผวนจากการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองในสหรัฐฯ


ขณะที่อีซีบีและเฟดส่งสัญญาณเตือนถึงเรื่องวัคซีน Covid-19 ที่อาจดีเกินจริง และอาจไม่สทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯสามารถฟื้นตัวได้เร็วเหมือนที่บรรดานักลงทุนมีการคาดหวังไว้


 

·         อ้างอิงจากสำนักข่าวอินโฟเควสท์


- ศบค.พบผู้ติดเชื้อ Covid-19 ในไทย โดยเป็นกลุ่มคนที่มาจากต่างประเทศเพิ่มอีก 5 ราย

โดยเป็นผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศและเข้าพักใน State Quarantine มาจากเยอรมนี 1 ราย สวีเดน 1 ราย อิหร่าน 1 ราย เคนยา 1 ราย และสวิตเซอร์แลนด์ 1 ราย

สำหรับจำนวนผู้ป่วยยืนยันสะสมในประเทศล่าสุดอยู่ที่ 3,852 ราย ส่วนยอดผู้เสียชีวิตสะสมคงที่ 60 ราย


- มาตรการการคลังด้านการใช้จ่ายภาครัฐ

1. เห็นชอบมาตรการการคลังด้านการใช้จ่ายภาครัฐ และมอบหมายให้หน่วยรับงบประมาณถือปฏิบัติตามมาตรการดังกล่าว

2. เห็นชอบการแต่งตั้งคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและการใช้จ่ายภาครัฐ


- ปธ.สภาฯ เดินหน้าโครงสร้าง กก.สมานฉันท์ 2 ชุด แย้มไม่รอ 7 ฝ่ายร่วมครบ


รองนายกรัฐมนตรีไทย มองเจตนาดี ส.ส.-ส.ว.ยื่นตีความตั้ง ส.ส.ร.ก่อนสายเกินแก้ เชื่อไม่สะดุด และในวันที่ 17-18 พ.ย. มีการโหวตวาระหนึ่ง หากผ่านก็ตั้งคณะกรรมาธิการ ใช้เวลาประมาณ 1 เดือน และ หากในเวลาดังกล่าวส่งศาลรัฐธรรมนูญสำเร็จ เรื่องก็ไปอยู่ในศาล หากศาลบอกไม่ขัดก็หมดเรื่อง กระบวนการก็เดินหน้า โดยไปรอกระบวนการทำประชามติ แต่ต้องรอ พ.ร.บ.ประชามติมาใช้บังคับ ซึ่งคาดว่าเป็นเดือน ก.พ.ปีหน้า


"ชวน" ถกวาระส่งศาลตีความรธน.เข้าพิจารณา หลังประชุมรัฐสภา 17-18 พ.ย.


นายกฯไทย ร่วมประชุมสุดยอดอาเซียน จับตาดึงอินเดียลงนาม RCEP สำเร็จหรือไม่


ไทย เสนอ 4 ภารกิจเร่งด่วนขับเคลื่อนอาเซียน ฝ่าวิกฤตโควิด-19

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ได้เข้าร่วมพิธีเปิดการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 37 และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง ผ่านระบบการประชุมทางไกล

โดยนายกรัฐมนตรีเสนอแนวทาง 4 ประเด็นสำคัญ คือ

1.ร่วมเสริมสร้างความร่วมมือด้านสาธารณสุข สร้างความมั่นคงและการพึ่งพาตนเองด้านวัคซีน เพื่อให้วัคซีนโควิด-19 เป็นสินค้าสาธารณะ

2.ส่งเสริมแนวทางการฟื้นฟูและเยียวยาผลกระทบจากโควิด-19 แบบบูรณาการ ภูมิภาคของเราจะฟื้นตัวและปรับตัวกับความปกติใหม่ New Normal พร้อมร่วมรับรองกรอบการฟื้นฟูที่ครอบคลุมของอาเซียน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง อาทิ SMEs

3.เสนอให้อาเซียนควรเตรียมความพร้อมในระยะยาวเพื่อยืนหยัดและต้านทานต่อความท้าทายใหม่ ๆ สร้างความเข้มแข็งจากฐานราก

4.ร่วมมือรักษาเสถียรภาพในภูมิภาค เพื่อสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการรับมือกับการแพร่ระบาดและการฟื้นฟูเศรษฐกิจจากโควิด-19 ที่ทุกฝ่ายต้อง "แสวงจุดร่วม สงวนจุดต่าง" เพื่อป้องกันการเผชิญหน้าในภูมิภาคและเพิ่มพูนความร่วมมือที่เป็นประโยชน์แก่ทุกฝ่าย (win-win cooperation)


บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com