• นักลงทุนหวังจะเห็นความชัดเจนของผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯและวุฒิสภา จะช่วยยุติภาวะ Sell-Off ตลาดหุ้น

    2 พฤศจิกายน 2563 | SET News

นักลงทุนหวังจะเห็นความชัดเจนของผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯและวุฒิสภา จะช่วยยุติภาวะ Sell-Off ตลาดหุ้น

รายงานจาก CNBC ระบุว่า ความหวังที่ดีที่สุดของตลาดส่วนใหญ่ในสัปดาห์นี้คือความชัดเจนของการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯในวันที่ 3 พ.ย. นี้

ทั้งนี้ ความเสี่ยงครั้งใหญ่ที่อาจเกิดขึ้นแก่ตลาด รวมทั้งความกังวลที่แท้จริงต่อตลาด คือ “การปราศจากผลลัพธ์” ที่จะสร้างความไม่แน่นอนอย่างมากให้แก่ตลาดหุ้นและทิศทางเศรษฐกิจ

นักกลยุทธ์บางส่วนมองว่า การทราบผลเลือกตั้งได้อย่างรวดเร็ว หรือการทราบว่าใครมีผลคะแนนนำที่แท้จริงจะเป็นผลดีต่อตลาดมากกว่า เช่นเดียวกับผลการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาที่ยังเป็นที่วิตกกังวลว่าอาจไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ อาจมาจากการที่เราไม่ทราบว่าฝ่ายใดครองเสียงข้างมากได้

หัวหน้านักกลยุทธ์ด้านอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯจาก BMO กล่าวว่า หากปราศจากความชัดเจนเกี่ยวกับผู้ชนะเลือกตั้ง ก็อาจเป็นผลเสียต่อสินทรัพย์เสี่ยงต่างๆ เพราะสิ่งที่ตลาดกังวลจริงๆ คือการไม่ทราบความชัดเจนหลังเลือกตั้งที่อาจใช้เวลาเป็นหลายสัปดาห์จึงจะทราบผลได้ ท่ามกลางภาวะทางการเมืองและการระบาดของไวรัส

ตลาดหุ้นสหรัฐฯปิดต.ค. ไม่สดใสนัก ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิด -5.6% ในสัปดาห์ที่แล้วก็ดูจะเป็นการปิดที่แย่ที่สุดนับตั้งแต่มี.ค.

บรรดานักเศรษฐศาสตร์ กล่าวว่า การระบาดหนักอีกครั้งของไวรัสโคโรนาดูจะสร้างความหนักใจให้แก่ตลาด ท่ามกลางหลายๆประเทศหลักในฝั่งยุโรปที่กลับมาใช้ Lockdown อีกครั้ง รวมถึงสหรัฐฯที่พบจำนวนยอดผู้ติดเชื้อใหม่เพิ่มขึ้น


นักกลยุทธ์จาก BMO ยังระบุอีกว่า เขาไม่คาดหวังว่าตลาดจะเคลื่อนไหวมากนัก หากเหลือเพียงรอทราบผลในส่วนของวุฒิสภาสหรัฐฯ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะหากใช้เวลาหลายวันหรือหลายสัปดาห์ในการทราบความชัดเจนว่าพรรคใดครองเสียงข้างมากได้ ก็จะทำให้เกิดความกังวลว่าผู้ชนะในตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯจะสามารถผลักดันนโยบายได้อย่างไร


วุฒิสภาสหรัฐฯ ส่วนสำคัญของการกระตุ้นเศรษฐกิจ

วุฒิสภาสหรัฐฯ ยังเป็นหัวใจหลักว่าจะมีการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้เป็นจำนวนมากเท่าไร ในการต่อสู้กับผลกระทบจากวิกฤตไวรัสโคโรนา เช่น

หากไบเดนชนะ แต่เดโมแครตไม่สามารถครองเสียงข้างมากในวุฒิสภาฯได้

แนวโน้ม:
- ประนีประนอมวงเงินกระตุ้นเศรษฐกิจได้ “น้อยกว่า” แผนของเขา
- อาจไม่สามารถผลักดันแผนขึ้นภาษีได้

หากนายทรัมป์ชนะ แต่เดโมแครตกลับครองเสียงข้างมากในวุฒิสภาได้

แนวโน้ม:
- อาจเผชิญกับการไม่ผ่านมติในหลายๆประเด็น
- อาจได้รับความเห็นด้วยกับวงเงินกระตุ้นเศรษฐกิจจำนวนมหาศาลได้


RealClearPolitics เผยค่าเฉลี่ยโพลล์หลักๆส่วนใหญ่ พบว่า นายไบเดน มีคะแนนนำนายทรัมป์ประมาณ 7.8% และเดโมแครตมีแนวโน้มจะครองเสียงข้างมากได้ แต่ก็ดูจะเป็นไปอย่างสูสีมาก

นักกลยุทธ์จาก Bank of America ระบุว่า ชัยชนะเพียงไม่กี่ที่นั่งในวุฒิสภาอาจส่งผลกลับด้านกันได้ โดยจะเห็นได้ว่าเก่าอี้ฝั่งพรรครีพับลิกัน 7 ที่นั่งในปัจจุบันดูน่าจะคว้ามาได้แค่ 4 รัฐหลัก “และหากรีพับลิกันเสียที่นั่งในส่วนนี้ไป” แต่เดโมแครตกลับได้เก้าอี้มาเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง “ก็จะถือเป็นความชัดเจนถึงการได้ฝ่ายที่ครองเสียงข้างมากอย่างชัดเจน”

ภาพรวมยังมีความไม่แน่ชัดในช่วงโค้งสุดท้ายของผลคะแนน ซึ่งผลที่ออกอาจจะล่าช้าไปจนกว่าจะเข้าสู่บางช่วงในเดือนม.ค. ปีหน้า อาทิ รัฐจอร์เจีย ที่อาจกำหนดให้สิ้นสุดการเลือกตั้งหากไม่มีฝ่ายใดได้คะแนนนิยมสูงกว่า 50% และปัจจุบันก็ยังไร้คาดการณ์ผู้สมัครจากฝ่ายใดนำ

นักกลยุทธ์หลายๆราย ชี้ว่า “กรอบเวลาทราบผลเลือกตั้งมีความไม่ชัดเจน” ท่ามกลางบัตรลงคะแนนเลือกตั้งที่ส่งกลับมาอย่างท่วมท้น และก็ยังไม่สามารถนับคะแนนได้ในบางรัฐฯจนกว่าจะถึงวันเลือกตั้

นักกลยุทธ์จาก BofA กล่าวว่า การเลื่อนการทราบผลคะแนนเลือกตั้งออกไปในระยะสั้นๆ อาจจะกระทบการเติบโตทางเศรษฐกิจได้เพียงเล็กน้อย แต่หากการเลื่อนประกาศผลใช้เวลาเป็นหลายสัปดาห์ก็อาจฉุดจีดีพีช่วงครึ่งปีแรกของปี 2021 ให้ลดลงประมาณ 0.5% ถึง 1% ได้ และเมื่อใดที่เราทราบผู้ชนะ “ประเด็นกระตุ้นเศรษฐกิจ” จะกลับมาเป็นจุดสนใจอีกครั้ง


จับตาอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯอาจปรับตัวสูงขึ้นได้ หากมีสัญญาณถึงแนวโน้มการกระตุ้นเศรษฐกิจหลังจบเลือกตั้ง ที่อาจสะท้อนถึงระดับหนี้สินที่เพิ่มขึ้น และการปรับขึ้นดอกเบี้ยได้

BofA คาด อาจเห็นอัตราดอกเบี้ยปรับขึ้นได้ 0.05% ถึง 0.25% หลังทราบผลเลือกตั้ง จากทิศทางการกระตุ้นเศรษฐกิจและการฟื้นตัว แต่หากต้องใช้เวลารอผลเลือกตั้งก็อาจกดดันให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯอายุ 10ปี ปรับตัวลดลงได้

ทั้งนี้ หากผลเลือกตั้งนำมาซึ่งแรงกดดันให้ตลาดหุ้นปรับตัวลดลง ก็อาจเป็นโอกาสดีที่จะเข้าซื้อ และหากทราบผลเลือกตั้งที่ค่อนข้างชัดเจนก็อาจส่งผลให้ตลาดเคลื่อนไหวในกรอบในทิศทางขาขึ้นในระยะสั้น โดยเฉพาะหากนายไบเดนชนะ และครองเสียงข้างมากในสภาได้ ก็จะมีโอกาสปลดล็อกการเจรจากระตุ้นเศรษฐกิจได้

ในช่วงที่มีการเลือกตั้งครั้งนี้ ก็จะมีการประชุมเฟดเกิดขึ้นด้วย และคาดว่าการประชุมที่สิ้นสุดลงในวันพฤหัสบดีจะไม่มีการประกาศอะไรใหม่ๆออกมา แต่มีแนวโน้มที่เฟดจะกล่าวย้ำถึงการเดินหน้าผ่อนคลายทางการเงินต่อไปตราบเท่าที่เศรษฐกิจจะฟื้นตัวได้ และในคืนวันศุกร์จะมีการประกาศข้อมูลจ้างงานนอกภาคการเกษตรของรัฐบาลสหรัฐฯเดือนต.ค. ที่คาดว่าจะฟื้นตัวต่อจากเดือนก.ย.

หัวหน้านักกลยุทธ์ตลาดหุ้นสหรัฐฯจาก Credit Suisse ไม่คาดว่าตลาดจะตอบรับมากนักหากผลเลือกตั้งเป็นไปตามคาดที่นายไบเดนชนะ และครองเสียงข้างมากได้ แต่สิ่งที่จะกระทบกับตลาดมากสุดคือ Big Surprise จากสิ่งที่ตลาดคิดไม่ถึง แต่สิ่งที่สำคัญคือเราต้องการเห็นการประกาศชัยชนะ ซึ่งการรอเป็นเวลา 4-5 สัปดาห์อาจไม่ใช่สิ่งที่ตลาดน่าจะพอใจนักต่อการไม่ตัดสินใจทำอะไรในช่วงสั้นๆ ซึ่งการเลื่อนประกาศผลอาจกระทบต่อความเชื่อมั่นนักลงทุนได้

อย่างไรก็ดี การที่เราจะทราบถึงชัยชนะของประธานาธิบดีสหรัฐฯให้ได้ก่อนจำนวนวุฒิสมาชิกถือเป็นเรื่องที่ดีที่อย่างน้อยเราได้รู้ว่าอำนาจบริหารอยู่ในมือใคร


รายงานผลประกอบการ

รายงานผลประกอบการกว่า 12 บริษัทในสัปดาห์ที่ผ่านมา พบว่า ผลกำไรบริษัทส่วนใหญ่มีแนวโน้มสดใสขี้นและภาพรวมผลประกอบการไตรมาสที่ 3 ดูจะลดลงประมาณ 10% เมื่อเทียบกับคาดการณ์ที่มองว่าจะตกไปมากถึง 20%

สภาวะความเป็นจริงทางเศรษฐกิจมีการฟื้นตัวเกิดขึ้น และกว่า 55% ของบริษัทต่างๆใน S&P500 มีผลประกอบการเพิ่มขึ้นในปีนี้สูงกว่าปี 2019 ดังนั้น หลายๆบริษัทจึงไม่มีภาพสะท้อนของภาวะถดถอยหรือขาลง

การมาของนายไบเดนและนายทรัมป์ จะนำมาซึ่งกสรผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ตลาดค่อนข้างทราบว่านายทรัมป์มีท่าทีกระตุ้นเศรษฐกิจน้อยกว่านายไบเดน และน่าจะต้องใช้เวลาระยะหนึ่งในการดำเนินนโบบาย จึงไม่คิดว่านายไบเดนจะตัดสินใจขึ้นภาษีได้ในทันทีท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ค่อนข้างอ่อนแอ


ปัจจัยสำคัญของสหรัฐฯสัปดาห์นี้
วันจันทร์
- รายงานผลประกอบการบริษัทต่างๆ
21:45น. ดัชนี PMI ภาคการผลิตของสหรัฐฯ
22:00น. ISM เผยดัชนี PMI ภาคการผลิต
22:00น. การใช้จ่ายภาคการก่อสร้าง

วันอังคาร
- เลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ
- รายงานผลประกอบการบริษัทต่างๆ
22:00น. ยอดคำสั่งซื้อภาคโรงงาน

วันพุธ
- เฟดเริ่มต้นประชุมวันแรก
- รายงานผลประกอบการบริษัทต่างๆ
20:15น. จ้างงานภาคเอกชน
20:30น. ข้อมูลการค้ากับต่างประเทศ

วันพฤหัสบดี
- รายงานผลประกอบการบริษัทต่างๆ
20:30น. จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์
20:30น. ค่าใช้จ่ายและประสิทธิผลการผลิต
02:00น. ประชุมเฟด
02:30น. ประธานเฟดให้สัมภาษณ์สื่อ

วันศุกร์
- รายงานผลประกอบการบริษัทต่างๆ
20:30น. การจ้างงานนอกภาคการเกษตรของรัฐบาลสหรัฐฯ
22:00น. ข้อมูลค้าส่ง
03:00น. เครดิตผู้บริโภค


ที่มา: CNBC

บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com