· ดอลลาร์แข็งจากความเสี่ยงที่เพิ่มมากขึ้น
ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นได้จากความไม่มั่นใจวัคซีน Covid-19 และการปราศจากการเพิ่มมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ จึงหนุนความต้องการ Safe-Haven มากขึ้น
นักวิเคราะห์บางราย ระบุว่า ค่าเงินยูโรและปอนด์มีแนวโน้มจะอ่อนค่าต่อ จากการกลับมาคุมเข้มกิจกรรมทางเศรษฐกิจในยุโรปและอังกฤษเพื่อควบคุมการระบาดของไวรัสโคโรนา
ขณะที่นักวิเคราะห์บางส่วน ชี้ อาจไม่เกิดข้อตกลงกระตุ้นเศรษฐกิจจากสหรัฐฯได้จนกว่าจะจบเลือกตั้ง ขณะที่ธนาคารกลางจีนพยามยับยั้งการแข็งค่าของเงินหยวน ทั้งหมดนี้ จึงยังไม่มีปัจจัยใดมาหนุนให้เกิดการเข้าซื้อยูโร ส่งผลให้ผู้ถือ Long ในยูโรเวลานี้ได้รับผลกระทบมากขึ้น
ค่าเงินยูโรทรงตัวที่ 1.1743 ดอลลาร์/ยูโร
ค่าเงินปอนด์ทรงตัว 1.2926 ดอลลาร์/ปอนด์
เงินปอนด์มีแนวโน้มได้รับผลกระทบจากความคืบหน้าเพียงน้อยนิดในการเจรจาข้อตกลงการค้าระหว่างอังกฤษและอียู รวมทั้งโอกาสที่บีโออีอาจปรับดอกเบี้ยสู่ระดับติดลบ
· บรรดาผู้กำหนดนโยบายทั่วโลกมีกำหนดหารือกันในเดือนหน้าเกี่ยวกับการผ่อนคลายแรงกดดันต่อภาคธนาคารทั่วโลก ในการคงเม็ดเงินที่ไม่จำเป็นจำนวนมากในทุกๆประเทศเพื่อการบริหารจัดการ
· ภรรยาเลขาธิการกระทรวงแรงงานสหรัฐฯติดโควิด
· รายงานล่าสุดจาก CNBC ทางทีมแพทย์ชะลอการรักษาภริยาเลขาธิการกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ จากการใช้กระบวนการรักษาด้วยแอนตี้บอดี้ “จากความกังวลด้านความปลอดภัย”
· ที่ประชุมอียูซัมมิท ชี้ ยังมีความคืบหน้าไม่พอสำหรับข้อตกลงการค้า Brexit
· อียูต้องการให้เกิดข้อตกลงการค้า Brexit มากกว่า แต่ก็เตรียมพร้อมหากไม่มีข้อตกลงใดๆ
· จีนซื้อพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นเพิ่มมากสุดรอบ 3 ปี และมีการเข้าถือครองมากกว่า 3 เท่า ตั้งแต่ช่วงเม.ย. - ก.ค. ที่ระดับ 1.46 ล้านล้านเยน (1.38 หมื่นล้านเหรียญ) ในกลุ่มพันธบัตรระยะกลาง - ระยะยาว เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
ขณะที่สหรัฐฯ ซื้อพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่น (JGBs) เพิ่มขึ้นเพียง 30% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา ทางฝั่งยุโรปพบว่ามีการขาย JGBs ออกมา 3 ล้านล้านเยน
พันธบัตรระยะยาวมักให้ผลตอบแทนที่สูงเมื่อนักลงทุนจำเป็นต้องรับมือกับความเสี่ยงสูงจึงเลือกถือครองเป็นเวลานาน
นักกลยุทธ์อาวุโสจาก Aviva Investors มองว่า การที่บรรดาผู้จัดการหลายแห่งเข้าสำรอง JGBs เพิ่มก็เพื่อทำการ Swap หรือป้องกันความเสี่ยงจากค่าเงินดอลลาร์
และยังมีความเป็นไปได้ที่จีนอาจพยายามทำให้หยวนอ่อนค่า หลังจากที่หยวนแข็งค่ามากกว่าเงินเยนในเดือนมิ.ย. “จึงทำให้เกิดการขายหยวนเพื่อซื้อ JGBs” ที่อาจช่วยจำกัดและส่งผลให้หยวนอ่อนค่าลงบ้าง
· ธนาคารกลางเกาหลีใต้คงดอกเบี้ยตามคาด 0.5% แต่หั่นแนวโน้มเศรษฐกิจปีนี้คาดแย่สุดในรอบกว่า 20ปี
ธนาคารกลางเกาหลีใต้ (บีโอเค) คาด การระบาดของไวรัสโคโรนาจะส่งผลให้จีดีพีปีนี้ -1.3% ถือเป็นการหดตัวลงที่มากที่สุดในรอบกว่า 2 ทศวรรษ
· อินเดียประกาศเพิ่มเงินเกือบหมื่นล้านเหรียญ หรือ 9.94 พันล้านเหรียญ (7.30 แสนล้านรูปี) หวังหนุนเศรษฐกิจ แต่นักเศรษฐศาสตร์มองว่าไม่เพียงพอต่อการเติบโตระยะยาว
· เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ชะลอตัวจากภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจากอุปสงค์ที่ได้รับผลจาก Covid-19
องค์กรการท่องเที่ยวโลกของสหประชาชาติ (UNWTO) คาดว่า การท่องเที่ยวนานาชาติจะปรับตัวลดลงมากถึง 80% ในปีนี้ ซึ่งแถบเอเชียและแปซิฟิก “จะได้รับผลกระทบมากที่สุด” ตั้งแต่ 3 เดือนแรกของปีนี้ จากยอดนักท่องเที่ยวที่ลดลง 33 ล้านคน
กังวล ฟองสบู่ภาคท่องเที่ยว ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แม้หลายๆประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ส่วนใหญ่จะควบคุมสถานการณ์การระบาดของไวรัสโคโรนา แต่ก็ยังไม่อาจคาดเดาได้ว่าการระบาดจะกลับมาขยายวงกว้างมากเพียงใดจากการที่หลายๆประเทศเปิดพรมแดนเร็วเกินไป
· ราคาน้ำมันปรับตัวลดลงเนื่องจากความกังวลว่าความต้องการเชื้อเพลิงจะยังคงสั่นคลอนต่อไปเนื่องจากผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาที่เพิ่มสูงขึ้นทั่วยุโรปและในสหรัฐฯซึ่งเป็นผู้บริโภคน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลกอาจเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ
OPEC คาดอุปสงค์น้ำมันโลกจะฟื้นตัวได้อย่างช้าๆในปีหน้า ประมาณ 6.54 ล้านบาร์เรล/วัน สู่ระดับ 96.84 ล้านบาร์เรล โดยชะลอจากคาดการณ์ก่อนหน้าประมาณ 80,000 บาร์เรล/วัน ท่ามกลางการระบาดของไวรัวที่เพิ่มมากขึ้น
อย่างไรก็ดี การอ่อนตัวของอุปสงค์น้ำมันอาจกระทบต่อแผนของ OPEC+ ในการจะทยอยถอนการลดกำลังการผลิตครั้งประวัติการณ์ในปีนี้ ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีการประกาศยกเลิกแผนปรับลดกำลังการผลิตเพื่อหนุนราคาน้ำมัน
ทั้งนี้ น้ำมันดิบ Brent ปรับลดลง 17 เซนต์ หรือ 0.4% ที่ระดับ 42.28 เหรียญ/บาร์เรล ด้านน้ำมันดิบ WTI ปรับลดลง 18 เซนต์ หรือ 0.5% ที่ระดับ 40.02 เหรียญ/บาร์เรล