• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคค่ำ) ประจำวันที่ 14 ตุลาคม 2563

    14 ตุลาคม 2563 | Economic News
 

·         ดอลลาร์แข็งจากความเสี่ยงที่เพิ่มมากขึ้น

 

ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นได้จากความไม่มั่นใจวัคซีน Covid-19 และการปราศจากการเพิ่มมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ จึงหนุนความต้องการ Safe-Haven มากขึ้น

 

นักวิเคราะห์บางราย ระบุว่า ค่าเงินยูโรและปอนด์มีแนวโน้มจะอ่อนค่าต่อ จากการกลับมาคุมเข้มกิจกรรมทางเศรษฐกิจในยุโรปและอังกฤษเพื่อควบคุมการระบาดของไวรัสโคโรนา

 

ขณะที่นักวิเคราะห์บางส่วน ชี้ อาจไม่เกิดข้อตกลงกระตุ้นเศรษฐกิจจากสหรัฐฯได้จนกว่าจะจบเลือกตั้ง ขณะที่ธนาคารกลางจีนพยามยับยั้งการแข็งค่าของเงินหยวน ทั้งหมดนี้ จึงยังไม่มีปัจจัยใดมาหนุนให้เกิดการเข้าซื้อยูโร ส่งผลให้ผู้ถือ Long ในยูโรเวลานี้ได้รับผลกระทบมากขึ้น

 

ค่าเงินยูโรทรงตัวที่ 1.1743 ดอลลาร์/ยูโร

ค่าเงินปอนด์ทรงตัว 1.2926 ดอลลาร์/ปอนด์

 

เงินปอนด์มีแนวโน้มได้รับผลกระทบจากความคืบหน้าเพียงน้อยนิดในการเจรจาข้อตกลงการค้าระหว่างอังกฤษและอียู รวมทั้งโอกาสที่บีโออีอาจปรับดอกเบี้ยสู่ระดับติดลบ

 

·         บรรดาผู้กำหนดนโยบายทั่วโลกมีกำหนดหารือกันในเดือนหน้าเกี่ยวกับการผ่อนคลายแรงกดดันต่อภาคธนาคารทั่วโลก ในการคงเม็ดเงินที่ไม่จำเป็นจำนวนมากในทุกๆประเทศเพื่อการบริหารจัดการ

 

·         ภรรยาเลขาธิการกระทรวงแรงงานสหรัฐฯติดโควิด

 

·         รายงานล่าสุดจาก CNBC ทางทีมแพทย์ชะลอการรักษาภริยาเลขาธิการกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ จากการใช้กระบวนการรักษาด้วยแอนตี้บอดี้ จากความกังวลด้านความปลอดภัย

 

·         ที่ประชุมอียูซัมมิท ชี้ ยังมีความคืบหน้าไม่พอสำหรับข้อตกลงการค้า Brexit


·         อียูต้องการให้เกิดข้อตกลงการค้า Brexit มากกว่า แต่ก็เตรียมพร้อมหากไม่มีข้อตกลงใดๆ



·         จีนซื้อพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นเพิ่มมากสุดรอบ 3 ปี และมีการเข้าถือครองมากกว่า 3 เท่า ตั้งแต่ช่วงเม.ย. - ก.ค. ที่ระดับ 1.46 ล้านล้านเยน (1.38 หมื่นล้านเหรียญ) ในกลุ่มพันธบัตรระยะกลาง - ระยะยาว เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

 

ขณะที่สหรัฐฯ ซื้อพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่น (JGBs) เพิ่มขึ้นเพียง 30% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา ทางฝั่งยุโรปพบว่ามีการขาย JGBs ออกมา 3 ล้านล้านเยน

 

พันธบัตรระยะยาวมักให้ผลตอบแทนที่สูงเมื่อนักลงทุนจำเป็นต้องรับมือกับความเสี่ยงสูงจึงเลือกถือครองเป็นเวลานาน

 

นักกลยุทธ์อาวุโสจาก Aviva Investors มองว่า การที่บรรดาผู้จัดการหลายแห่งเข้าสำรอง JGBs เพิ่มก็เพื่อทำการ Swap หรือป้องกันความเสี่ยงจากค่าเงินดอลลาร์

 

และยังมีความเป็นไปได้ที่จีนอาจพยายามทำให้หยวนอ่อนค่า หลังจากที่หยวนแข็งค่ามากกว่าเงินเยนในเดือนมิ.ย.  จึงทำให้เกิดการขายหยวนเพื่อซื้อ JGBs” ที่อาจช่วยจำกัดและส่งผลให้หยวนอ่อนค่าลงบ้าง

 

 

·         ธนาคารกลางเกาหลีใต้คงดอกเบี้ยตามคาด 0.5% แต่หั่นแนวโน้มเศรษฐกิจปีนี้คาดแย่สุดในรอบกว่า 20ปี

 

ธนาคารกลางเกาหลีใต้ (บีโอเค) คาด การระบาดของไวรัสโคโรนาจะส่งผลให้จีดีพีปีนี้ -1.3% ถือเป็นการหดตัวลงที่มากที่สุดในรอบกว่า 2 ทศวรรษ

 

 

·         อินเดียประกาศเพิ่มเงินเกือบหมื่นล้านเหรียญ หรือ 9.94 พันล้านเหรียญ (7.30 แสนล้านรูปี) หวังหนุนเศรษฐกิจ แต่นักเศรษฐศาสตร์มองว่าไม่เพียงพอต่อการเติบโตระยะยาว

 

 

·         เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ชะลอตัวจากภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจากอุปสงค์ที่ได้รับผลจาก Covid-19

องค์กรการท่องเที่ยวโลกของสหประชาชาติ (UNWTO) คาดว่า การท่องเที่ยวนานาชาติจะปรับตัวลดลงมากถึง 80% ในปีนี้ ซึ่งแถบเอเชียและแปซิฟิก จะได้รับผลกระทบมากที่สุด” ตั้งแต่ 3 เดือนแรกของปีนี้ จากยอดนักท่องเที่ยวที่ลดลง 33 ล้านคน

 

กังวล  ฟองสบู่ภาคท่องเที่ยว  ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แม้หลายๆประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ส่วนใหญ่จะควบคุมสถานการณ์การระบาดของไวรัสโคโรนา แต่ก็ยังไม่อาจคาดเดาได้ว่าการระบาดจะกลับมาขยายวงกว้างมากเพียงใดจากการที่หลายๆประเทศเปิดพรมแดนเร็วเกินไป

 

·         ราคาน้ำมันปรับตัวลดลงเนื่องจากความกังวลว่าความต้องการเชื้อเพลิงจะยังคงสั่นคลอนต่อไปเนื่องจากผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาที่เพิ่มสูงขึ้นทั่วยุโรปและในสหรัฐฯซึ่งเป็นผู้บริโภคน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลกอาจเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ


OPEC 
คาดอุปสงค์น้ำมันโลกจะฟื้นตัวได้อย่างช้าๆในปีหน้า ประมาณ 6.54 ล้านบาร์เรล/วัน สู่ระดับ 96.84 ล้านบาร์เรล โดยชะลอจากคาดการณ์ก่อนหน้าประมาณ 80,000 บาร์เรล/วัน ท่ามกลางการระบาดของไวรัวที่เพิ่มมากขึ้น


อย่างไรก็ดี การอ่อนตัวของอุปสงค์น้ำมันอาจกระทบต่อแผนของ 
OPEC+ ในการจะทยอยถอนการลดกำลังการผลิตครั้งประวัติการณ์ในปีนี้ ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีการประกาศยกเลิกแผนปรับลดกำลังการผลิตเพื่อหนุนราคาน้ำมัน


ทั้งนี้ น้ำมันดิบ 
Brent ปรับลดลง 17 เซนต์ หรือ 0.4% ที่ระดับ 42.28 เหรียญ/บาร์เรล ด้านน้ำมันดิบ WTI ปรับลดลง 18 เซนต์ หรือ 0.5% ที่ระดับ 40.02 เหรียญ/บาร์เรล

บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com