• สรุปข่าวราคาทองคำ (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 6 ตุลาคม 2563

    6 ตุลาคม 2563 | Gold News


ทองพุ่งทดสอบ 1,920 เหรียญ หวังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจกดดันดอลลาร์อ่อนค่า

·         ราคาทองคำเมื่อคืนนี้ปรับตัวขึ้นได้กว่า 1% จากมุมมองเชิงบวกเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ แม้ว่าตลาดหุ้นจะปรับขึ้นขานรับรายงานที่ว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯอาจออกจากโรงพยาบาลได้ในเร็วๆนี้ ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงประมาณ 0.4%

 

·         ราคาทองคำตลาดโลกปิด +0.7% ที่ 1,912.8 เหรียญ หลังจากที่ขึ้นไปทำสูงสุดตั้งแต่ 22 ก.ย. ที่ระดับ 1,918.36 เหรียญ ขณะที่สัญญาทองคำส่งมอบเดือนธ.ค. ปิด +0.7% ที่ระดับ 1,920.1 เหรียญ

 

·         กองทุนทองคำ SPDR ไม่ได้ทำอะไรเพิ่มเติม ปัจจุบันถือครองทองคำเท่าเดิมที่ 1,275.6 ตัน

 

·         นักกลยุทธ์ฝ่ายการตลาดอาวุโสจาก RJO Futures กล่าวว่า ตลาดเริ่มเห็นแววข้อตกลงบ้างเล็กน้อย หลังจากที่นางเพโลซี อาจเห็นพ้องกับข้อตกลงของฝั่งรีพับลิกัน จึงอาจเกิดข้อตกลงกระตุ้นเศรษฐกิจได้เร็วๆนี้ และนี่เป็นปัจจัยบวกต่อทองคำ แต่ความเชื่อมั่นในภาวะ Risk-On ก็ดูจะส่งผลลบต่อทองคำจึงอาจทำให้เราเห็นทองคำเคลื่อนไหว “Sideways” ได้ในสัปดาห์นี้

 

·         เมื่อวานนี้ตลาดหุ้นทั่วโลกดูจะตอบรับข่าวเชิงบวกเกี่ยวกับการที่นายทรัมป์อาจถูกปล่อยจากโรงพยาบาล จึงไม่ได้สนใจคำเตือนของบรรดาผู้เชี่ยวชาญที่ว่ากรณีของนายทรัมป์อาจอยู่ในกลุ่มอาการขั้นรุนแรง

·         นักวิเคราะห์จาก TD Securities กล่าวว่า แม้จะมีความเห็นแตกต่างกัน แต่บรรดาเจ้าหน้าที่จากทั้งเดโมแครตและรีพับลิกันมีแนวโน้มจะช่วยกันผลักดันข้อตกลงทางการเงินเนื่องจาก เนื่องจากน่าจะไม่มีเวลาพอในการทำคะแนนของพรรครีพับลิกัน เนื่องจากนายไบเดน ณ เวลานี้ดูจะมีคะแนนนิยมเพิ่มขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นปัจจัยบวกต่อทองคำ

 

·         ตลาดกำลังรอการประกาศรายงานประชุมเฟดเดือนก.ย. ที่จะมีขึ้นในคืนวันพรุ่งนี้

 

·         ราคาซิลเวอร์ปิด +2.4% ที่ 24.27 เหรียญ ด้านแพลทินัมปิด +1.3% ที่ระดับ 893 เหรียญ ด้านพลาเดียมปิด +2.5% ที่ 2,366 เหรียญ

 

·         “เพโลซี – มนูชิน” หารือร่วมชั่วโมงแต่ยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงกระตุ้นเศรษฐกิจร่วมกันได้

เมื่อวานนี้ นางแนนซี เพโลซี โฆษกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ และนายสตีเวน มนูชิน มีการเจรจากันนานร่วมชั่วโมงผ่านทางโทรศัพท์ แต่ก็ยังไม่สามารถหาข้อตกลงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจร่วมกันได้

อย่างไรก็ดี ในวันนี้จะมีการเจรจากันต่อ โดยที่ทั้งสองฝ่ายพยายามที่จะเร่งผลักดันให้เกิดข้อตกลงร่วมกันให้ได้ในเร็ววัน  ท่ามกลางความคืบหน้าในการเจรจาที่มากขึ้นตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว แม้จะยังไม่เกิดข้อตกลงใดๆก็ตาม

กลุ่มนักเศรษฐศาสตร์ แสดงความกังวลว่า การปราศจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจฉบับใหม่มีโอกาสจะส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐฯชะลอตัวลงมากขึ้น

 

·         “ทรัมป์” ออกจากโรงพยาบาลมารักษาตัวต่อที่ทำเนียบขาว

นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ออกจากโรงพยาบาลที่เข้ารักษาอาการ Covid เป็นที่เรียบร้อย และจะมีการเข้ารักษาอาการต่อที่ทำเนียบขาว แต่เขาก็มีแนวโน้มที่จะเริ่มกลับมาหาเสียงเลือกตั้งอีกครั้ง


·         บรรดาแพทย์กังวลว่านายทรัมป์อาจ “ได้รับการรักษาที่มากเกินจำเป็น” ด้วยสิทธิ VIP

 

·         เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวส่วนใหญ่พบติดเชื้อ Covid-19

รายงานจากรอยเตอร์ส ระบุว่า พบจำนวนเจ้าหน้าที่จากทางทำเนียบขาวมีการติดเชื้อไวรัสโคโรนาเพิ่มขึ้น และรวมถึงบรรดาสมาชิกระดับสูงของพรรครีพับลิกันด้วย และประเด็นนี้ได้ทำให้ตลาดการเงินบางส่วนเริ่มกังวลว่าจะทำให้การดำเนินงานของสภาคองเกรสมีความล่าช้าออกไป เนื่องด้วยวุฒิสภาจำเป็นต้องเลื่อนการลงมติต่างๆ หลังจากที่สมาชิกพรรครีพับลิกันจำนวนไม่น้อยกว่า 3 รายตรวจพบการติดเชื้อ 

ขณะที่หลายๆคนเคยมีผลตรวจเป็นลบ แต่การกลับมาพบเชื้อคือหลังจากที่มีการพบกับนายทรัมป์เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

 

·         อาการติดเชื้อของนายทรัมป์ และสัญญาณที่อ่อนแอทางเศรษฐกิจ สร้างความท้าทายต่อการเลือกตั้งรอบนี้!

หลังมีข่าวการติดเชื้อไวรัสโคโรนาของนายทรัมป์ ควบคู่กับภาวะเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสดังกล่าวดูจะส่งผลต่อคะแนนนิยมในตัวของนายทรัมป์

ขณะที่ข้อมูลจ้างงานเดือนก.ย. ที่ปราศจากการขยายตัวเพราะได้รับผลกระทบจากไวรัสโคโรนาก็ดูจะกระทบต่อความนิยมในตัวนายทรัมป์ในเชิงลบ และทำให้คะแนนนิยมในตัวของนายไบเดน คู่แข่งเพิ่มขึ้น

RealClearPolitics เผยโพลล์ล่าสุด พบว่านายไบเดนมีคะแนนนิยมนำทรัมป์ไปแล้ว 8.3% ขณะที่ NBC News/Wall Street Journal เผยโพลล์ที่ว่าไบเดนนำไป 14 แต้ม

และจากนี้ก็จะไม่มีการประกาศข้อมูลภาคแรงงานหลักๆที่จะส่งผลต่อการแสดงทักษะการสร้างแรงงานของนายทรัมป์อีก


ทั้งนี้ คนว่างงานในสหรัฐฯยังอยู่ระดับสูงมากถึง 11.4 ล้านรายนับตั้งแต่ที่เผชิญกับภาวะ Shutdown ทางเศรษฐกิจในเดือนมี.ค. และเม.ย. ขณะที่ข้อมูลจ้างงานรัฐบาลยังน้อยกว่าครึ่งหรือเพิ่มขึ้นได้เพียง 1.5 ล้านตำแหน่งในเดือนส.ค. และอัตราว่างงานนที่ถึงแม้จะลดลงมาที่ 7.9แต่ก็ยังถือเป็นระดับสูงที่สุดในการดำรงตำแหน่งของประธานาธิบดีทุกยุคตั้งแต่ปี 1948

นอกจากนี้ ผู้ขอรับสวัสดิการรายสัปดาห์ก็ยังมีค่าเฉลี่ยเหนือ 800,000 ราย/สัปดาห์ ท่ามกลางพรรครีพับลิกันที่ยังไม่สามารถตกลงแพ็คเกจเศรษฐกิจเพิ่มเติม ท่ามกลางเดโมแครตที่พยายามเร่งให้เกิดมาตรการเพื่อหนุนการฟื้นภาคแรงงานอีกครั้ง

 

·         ทรัมป์ตั้งใจเข้าร่วมดีเบตประธานาธิบดีสหรัฐฯครั้งที่ 2 ในวันที่ 15 ต.ค.นี้

 

·         วันพรุ่งนี้ จะมีการดีเบตระหว่างว่าที่รองประธานาธิบดีทั้งสอง

 

·         ประธานเฟดชิคาโกชี้ เฟดจะต้องชนะเป้าหมายเงินเฟ้อที่ 2% ภายในปี 2023

 

·         สมาชิกธนาคารกลางอังกฤษ เปิดกว้างต่อการใช้ตราดอกเบี้ยติดลบ ท่ามกลางความเสี่ยงของการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยังมีอยู่

 

·         CDC ทบทวนมาตรการแนะนำ Covid-19 ที่สามารถแพร่ระบาดทางอากาศได้ และอยู่ได้นานเป็นชั่วโมง และสามารถกระจายได้มากถึง 1.8 เมตร

 

·         WHO คาด มีโอกาสที่ประชากรทั่วโลกกว่า 10จะติดเชื้อไวรัสโคโรนาเพิ่ม

 

·         IMF เรียกร้องให้บรรดารัฐบาลต่างๆทำการหนุนการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อนช่วยเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจาก Covid-19  พร้อมกับหนุนการขยายการใช้มาตรการดอกเบี้ยระดับต่ำเพื่อสร้างโอกาสใสการลงทุนมากขึ้น

 

·         ภาคธนาคารพาณิชย์สหรัฐฯประสบภาวะล้มลายเพิ่มกว่า 33%  ในปีนี้ 

โดยพบเคสใหม่เพิ่มขึ้นประมาณ 78% เพราะได้รับแรงกดดันจากการระบาดของไวรัสโคโรนาที่กระทบต่อภาคธุรกิจขนาดเล็กอย่างมาก


·         นักบริหารการเงิน คาดว่า กรอบเงินบาทระหว่างวัน 31.21-31.41 บาทต่อดอลลาร์ โดยตลาดการเงินกลับมาฟื้นตัวสดใสในช่วงคืนที่ผ่านมา ดัชนี S&P 500 ของสหรัฐและ STOXX 600 ของยุโรปปรับตัวขึ้น จากการฟื้นไข้ของทรัมป์ ด้านเงินบาทระยะสั้นได้รับแรงหนุนแข็งค่า จากการขายดอลลาร์ของนักลงทุนต่างชาติ ตามกระแสการอ่อนค่าของดอลลาร์ และหากเปิดประเทศให้นักท่องเที่ยวบางส่วนกลับเข้ามาได้ จะสร้างมุมมองเชิงบวกกับทั้งเงินบาทและตลาดทุ้นไทยได้อีก

 

·         อ้างอิงจากสำนักข่าวอินโฟเควสท์

-เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่พระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ "อาคม เติมพิทยาไพสิฐ" เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง คนใหม่

- กระทรวงพาณิชย์ เผยอัตราเงินเฟ้อทั่วไป (CPI) เดือนก.ย.63 หดตัว -0.70% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการลดลงของราคาน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นสำคัญที่ปรับตัวลดลงตามตลาดโลก พร้อมประเมินแนวโน้มเงินเฟ้อไตรมาส 4 ปีนี้จะหดตัวเล็กน้อยที่ -0.34% โดยทั้งปี 63 ยังให้ประมาณการเงินเฟ้อไว้ในกรอบเดิมที่ -1.5 ถึง -0.7% หรือค่ากลางที่ -1.1%

 

 อ่านข่าวอื่นๆเพิ่มเติมได้ที่: www.mtsgold.co.th


บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com