• สรุปข่าวราคาทองคำ (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 28 กันยายน 2563

    28 กันยายน 2563 | Gold News

ทองคำปรับลงท่ามกลางนักลงทุนถือดอลลาร์เป็น Safe-Haven กังวล Covid-19

· ราคาทองคำคืนวันศุกร์ปรับตัวลดลงหลังจากที่ปรับลงไปทำต่ำสุดรอบกว่า 2 เดือน ท่ามกลางกลุ่มนักลงทุนที่เข้าถือครองดอลลาร์มากขึ้นในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยจากจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาที่เพิ่มจำนวนขึ้น และความไม่แน่นอนเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ของสหรัฐฯ


· ราคาทองคำปรับตัวลง -0.2% ที่ระดับ 1,864.39 เหรียญ ขณะที่สัญญาทองคำส่งมอบเดือนธ.ค. ปิด -0.6% ที่ 1,866.30 เหรียญ


· สำหรับภาพรวมรายสัปดาห์ทองคำปรับตัวลดลงไปประมาณ 4.4% ถือว่าเป็นการปรับตัวลดลงมากที่สุดในรอบไม่น้อยกว่า 6 สัปดาห์ จากดอลลาร์ที่ปิดสัปดาห์ที่ดีที่สุดนับตั้งแต่ช่วงต้นเดือนเม.ย.

· กองทุนทองคำ SPDR ขายทองคำออก 0.3 ตัน ปัจจุบันถือครองทองคำที่ระดับ 1,266.84 ตัน


· นักวิเคราะห์การตลาดอาวุโสจาก OANDA กล่าวว่า พรรคเดโมแครตและรีพับลิกันมีควาตั้งใจที่จะเพิ่มการช่วยเหลือทางเศรษฐกิจ แต่ทั้งสองฝ่ายก็ดูจะยังมีความคิดเห็นที่ไม่ลงรอยกันในเรื่องจำนวนรวม และถือเป็นความไม่แน่นอนที่ทำให้นักลงทุนเลือกที่จะถือครองดอลลาร์


· ตลาดคาดว่าสัปดาห์นี้จะมีการโหวตร่างมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯในวงเงิน 2.2 ล้านล้านเหรียญ ตามที่สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯได้มีการเปิดเผยเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ขณะที่ถ้อยแถลงสมาชิกเฟดในสัปดาห์ที่แล้วจะเห็นได้ว่า ค่อนข้างให้ความสำคัญกับการเพิ่มมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ขณะที่กลุ่มนักลงทุนวิตกกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจที่จะได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโคโรนา


· นักวิเคราะห์จาก FX Empire คาด ทองคำยังมีแรงกดดันขาลงต่อ ซึ่งหากราคาทองคำปรับตัวลงหลุดต่ำกว่า 1,850 เหรียญ ก็มีโอกาสปรับตัวลดลงไปแถวระดับ 1,800 เหรียญที่เป็นระดับสำคัญได้ และมองว่ามีแนวโน้มสูงที่จะเห็นทองคำปรับตัวลดลงไป ท่ามกลางภาวะตลาดที่มีดูจะผันผวนสูงในระยะสั้นๆ ขณะที่ระยะยาวทองคำยังมีแนวโน้มเป็นทิศทางขาขึ้น

อย่างไรก็ดี หากทองคำหลุด 1,800 เหรียญ ก็จะมีโอกาสเห็นทองคำกลับลงแถว 1,754 เหรียญ ดังนั้น นักลงทุนจึงควรลงทุนด้วยความระมัดระวัง จากดอลลาร์ที่อยู่ในทิศทางแข็งค่าและกระทบราคาสินค้าโภคภัณฑ์โดยทั่ว แต่หากดอลลาร์ปรับอ่อนค่าลงมาก็มีโอกาสที่จะเห็นราคาทองคำกลับขึ้นได้อีกครั้ง และหากทองคำปิดได้เหนือ 1,917 เหรียญ ก็มีโอกาสไปต่อ

· ราคาแพลทินัมปิด -0.1% ที่ 847.81 เหรียญ ด้านซิลเวอร์ปิด -0.8% ที่ 23.02 เหรียญ โดยทั้งสองสินค้าปิดรายสัปดาห์ที่แย่ที่สุดตั้งแต่ 20 มี.ค.


· ราคาพลาเดียมปิด -0.2% ที่ 2,221.20 เหรียญ


· เพโลซี หวังบรรลุข้อตกลงมาตรการช่วยเหลือ Covid-19 กับรีพับลิกัน

นางแนนซี เพโลซี โฆษกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ แสดงความคาดหวังว่าจะเห็นการบรรลุข้อตกลงร่วมกันได้กับพรรครีพับลิกันเกี่ยวกับแพ็คเกจมาตรการช่วยเหลือ Covid-19 ท่ามกลางการเจรจาที่ยังเดินหน้าต่อไป หลังจากที่ทางบรรดาส.ส. เริ่มต้นร่างข้อตกลงในวงเงิน 2.2 ล้านล้านเหรียญและมีการเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา

อย่างไรก็ดี หลายๆฝ่ายยังมองว่าทั้งสองพรรคน่าจะยังไม่สามารถตกลงกันได้ในวุฒิสภาที่รีพับลิกันครองเสียงข้างมาก

จะเห็นได้ว่า เดโมแครตเคยยื่นเสนองบประมาณด้วยวงเงิน 3.4 ล้านล้านเหรียญ แต่ถูกปัดตกไปเนื่องจากงบดังกล่าวสูงเกิน ขณะที่ในช่วงนั้นนายทรัมป์เคยแสดงความตั้งใจที่จะลงนามข้อตกลงวงเงิน 1.3 ล้านล้านเหรียญ


· ยอดติดเชื้อ Covid-19 ทะลุ 33 ล้าน ด้านเสียชีวิตสะสมเกิน 1 ล้าน

รายงานยอดติดเชื้อไวรัสโคโรนาล่าสุดทั่วโลกมียอดรวมสะสมที่ 33.297 ล้านราย และมียอดเสียชีวิตสะสมรวมกว่า 1 ล้านราย นำโดยสหรัฐฯที่มียอดติดเชื้อสูงกว่า 7.32 ล้านราย ด้านอินเดียยอดติเชื้อรวมทะลุ 6.07 ล้านราย

อย่างไรก็ดี ยังมีอีกหลายๆประเทศที่มียอดติดเชื้อเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และบางประเทศก็ยังมียอดติเชื้อรายวันที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่ที่เกิดการระบาดของไวรัส


· การเพิ่มขึ้นของยอดติดเชื้อสร้างความไม่แน่นอนให้แก่เศรษฐกิจก่อนเลือกตั้งสหรัฐฯ

ผู้เชี่ยวชาญบางส่วน มีการระบุว่า ยอดเสียชีวิตสะสมจากไวรัสโคโรนาในสหรัฐฯที่ทะลุ 2 แสนรายในสัปดาห์ที่ผ่านมา เกิดขึ้นควบคู่กับยอดติดเชื้อใหม่รายวันอย่างต่อเนื่องก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯในอีกไม่กี่สัปดาห์ และประเด็นดังกล่าวส่งผลให้ประชาชนให้ความสนใจต่อทิศทางเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัส และเป็นอีกหนึ่งปัจจัยในการพิจารณาแนวทางการรับมือและแก้ไขปัญหา จึงทำให้คะแนนนิยมการเลือกตั้งยังคงมีความไม่ชัดเจนในเวลานี้

· จีน เผย WHO หวังเกิดโปรแกรมฉุกเฉินในการใช้วัคซีนไวรัสโคโรนา

องค์การอนามัยโลก (WHO) ให้การสนับสนุนจีนในการทดลองวัคซีนไวรัสโคโรนามาตั้งแต่เดือนก.ค. แม้ขณะนี้วัคซีนดังกล่าวจะอยู่ในกระบวนการทดสอบ แต่บรรดาผู้เชี่ยวชาญหลายรายก็ยังคงกังวลต่อการเคลื่อนไหวของ WHO ที่หวังจะมีการใช้วัคซีนฉุกเฉินได้

อย่างไรก็ดี จีนคาดหวังว่าหากวัคซีนสำเร็จก็จะสามารถผลิตวัคซีนได้มากกว่า 610 ล้านโดสในช่วงสิ้นปี 2020 และอีก 1 พันล้านโดสใสช่วงประมาณปี 2021 พร้อมกับให้จำหน่ายในราคาที่ประชาชนทั่วไปในจีนสามารถเข้าถึงได้


· ผลกำไรภาคอุตสาหกรรมจีนเพิ่มขึ้น 4 เดือนติดต่อกัน

ผลกำไรบริษัทอุตสาหกรรมของจีนประจำเดือนส.ค.เพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกัน โดยส่วนหนึ่งมาจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์และการผลิตอุปกรณ์ที่ดีดตัวขึ้น

สำนักงานสถิติแห่งชาติจีนเปิดเผยว่า ผลกำไรของบริษัทอุตสาหกรรมรายใหญ่ของจีนในเดือนส.ค. เพิ่มขึ้น 19.1% อยู่ที่ 6.12 แสนล้านหยวน

หลังจากเมื่อเดือนก.ค.ที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นได้ 19.6% และเป็นการเติบโตของกำไรติดต่อกันเป็นเดือนที่ 4

อย่างไรก็ตาม ผลกำไรของบริษัทอุตสาหกรรมยังคงเผชิญกับแรงกดดันจากปัจจัยภายนอกเนื่องจากความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นระหว่างสหรัฐฯกับจีน


· สหรัฐฯคุมเข้มส่งออกกับกลุ่มผู้ผลิตชิป ของจีน ย้ำถึงความเสี่ยงในการใช้ทางทหาร

สหรัฐฯเพิ่มมาตรการคุมเข้มด้านการส่งออกสินค้าให้แก่บริษัท SMIC ผู้ผลิตชิปรายใหญ่ที่สุดของจีน หลังจากมีข้อสรุปถึง “ความเสี่ยงที่ไม่อาจยอมรับได้” ที่จีนอาจนำไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางการทหาร


· ผู้พิพากษาศาลยุติธรรมประจำเขตโคลอมเบียสั่งห้ามทีมบริหารทรัมป์ในการแบนการดาวน์โหลด TikTok จากคลังแอพลิเคชันสหรัฐฯ

โดยเมื่อวานนี้ ทีมบริหาของนายทรัมป์ เผยจะทำการแบนแอพ TikTok จากคลังแอพลิเคชันของสหรัฐฯและทำให้ผู้ที่เคยดาวน์โหลดไปแล้วไม่สามารถอัพเดตได้ โดยรัฐบาลสหรัฐฯอาจมีการบังคับให้คลังแอพลิเคชันของ Apple และ Google ทำการถือนแอพฯ TikTok

ขณะที่ล่าสุด ผู้พิพากษาสูงสุดจากศาลยุติธรรมประจำเขตโคลอมเบีย ได้อนุมัติคำสั่งห้ามมิให้รัฐบาลดำเนินการตามคำสั่งได้กล่าว


· เกาหลีเหนือ-เกาหลีใต้จ่อตึงเครียดเพิ่ม จากเหตุค้นหาศพเจ้าหน้าที่เกาหลีใต้

รัฐบาลเกาหลีเหนือเผย กำลังให้เจ้าหน้าที่หลายหน่วยงานค้นหาศพของพลเมืองเกาหลีใต้ ซึ่งทหารเกาหลีเหนือยิงเสียชีวิตเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว แต่ก็กล่าวเตือนว่า การปฏิบัติการทางทะเลของกองทัพเรือเกาหลีใต้ ในพื้นที่ดังกล่าว เสี่ยงทำให้เกิดความตึงเครียดมากขึ้น

· นักบริหารการเงิน ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในสัปดาห์นี้ไว้ที่ระหว่าง 31.35-31.85 บาท/ดอลลาร์ฯ โดยปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ การดีเบตครั้งแรกของคู่ชิงประธานาธิบดีสหรัฐฯ และการเจรจาดีล BREXIT ระหว่างยุโรปและอังกฤษ ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ประกอบด้วย ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตร การจ้างงานภาคเอกชน ดัชนี PMI/ISM ภาคการผลิต และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนก.ย. ยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย รายได้/รายจ่ายส่วนบุคคลและ Core PCE Price Index เดือนส.ค. รวมถึงตัวเลขจีดีพีไตรมาส 2/63 (final)

นอกจากนี้ ตลาดยังรอติดตามดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตและภาคบริการเดือนก.ย. ของจีน และปัจจัยทางการเมืองของไทยด้วยเช่นกัน


· อ้างอิงจากสำนักข่าวอินโฟเควสท์

- ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ในวันนี้จะมีการพิจารณาว่าจะขยายเวลาการประกาศใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินที่จะครบกำหนดในวันที่ 30 ก.ย.นี้ออกไปอีก 1 เดือนหรือไม่

- สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ จับตาปัญหาหนี้ครัวเรือนใกล้ชิด โดยปัจจุบันหนี้ครัวเรือนอยู่ที่ระดับ 80% ของจีดีพี ซึ่งส่วนมากแล้วจะเป็นหนี้ระยะยาวถึง 34% เช่น สินเชื่อบ้าน รองลงมาเป็นสินเชื่ออุปโภคบริโภค 27% โดยในส่วนของสินเชื่ออุปโภคบริโภคหรือสินเชื่อส่วนบุคคลนี้ภาครัฐจะต้องดูแลอย่างใกล้ชิดเพราะจะมีส่วนทำให้เกิดปัญหาในอนาคต

- ศูนย์วิจัยศุภาลัยเปิดเผยข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับภาวะตลาดที่อยู่อาศัยกับอัตราการเพิ่มของสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยว่า อัตราการขายในปี 63 ลดลงมาอย่างรุนแรงจาก 31% ในปี 62 เหลือเพียงสูงกว่า 20% เล็กน้อยเท่านั้น


อ่านข่าวอื่นๆเพิ่มเติมได้ที่: www.mtsgold.co.th

บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com