• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคค่ำ) ประจำวันที่ 17 มิถุนายน 2563

    17 มิถุนายน 2563 | Economic News
 

· ดอลลาร์ทรงตัวจากมุมมองเฟด และตึงเครียดการเมือง

ค่าเงินดอลลาร์ทรงตัว โดยปรับอ่อนค่าลงเล็กน้อย 0.1% ที่ 96.89 จุด หลังจากที่ยอดค้าปลีกสหรัฐฯปรับตัวขึ้นเกินคาดในเดือนพ.ค. ขณะที่นักลงทุนมีท่าทีระมัดระวังต่อการเข้าซื้อสินทรัพย์เสี่ยงที่เพิ่มขึ้น อย่างออสเตรเลียดอลลาร์

นายเจอโรม โพเวลล์ ประธานเฟด มีการกล่าวย้ำต่อคณะกรรมาธิการกำกับดูแลภาคธนาคารของวุฒิสภาสหรัฐฯในเชิงมุมมองเศรษฐกิจสหรัฐฯยังไม่สดใส ประกอบกับความหวังในการดำเนินนโยบายทางการเงิน

ขณะที่ตลอด 24 ชั่วโมง เราจะพบว่ามีข่าวที่ค่อนข้างหลากหลายที่ส่งผลการเคลื่อนไหวของตลาด ไม่ว่าจะเป็นการระบาดของไวรัสโคโรนาที่เพิ่มขึ้นใน 6 รัฐของสหรัฐฯ, เหตุปะทะกันของทหารจีนและอินเดียบริเวณตะวันตกของเทือกเขาหิมาลัย และยอดผู้ติดเชื้อใหม่ที่เพิ่มขึ้นในจีน ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นในตลาด

ด้านเฟดชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯยังไม่สามารถฟื้นตัวได้อย่างเต็มที่จนกว่าชาวสหรัฐฯจะมั่นใจว่าสามารถควบคุมการระบาดของไวรัสโคโรนาได้

ด้านค่าเงินยูโรทรงตัวต่ำกว่าสูงสุดรอบ 3 เดือนที่ทำไว้ในสัปดาห์ที่แล้วบริเวณ 1.1422 ดอลลาร์/ยูโร โดยมีระดับการซื้อขายแถว 1.1286 ดอลลาร์/ยูโร หลังจากที่ฟื้นตัวไปได้เกือบ 5% ตั้งแต่ที่มีข้อเสนอกองทุนฟื้นฟูยูโรโซน

สำหรับความคืบหน้า Brexit ที่ดำเนินไปและเป็นปัจจัยทีส่งผลต่อค่าเงินปอนด์ โดยค่าเงินปอนด์ยังสามารถทรงตัวได้แถว 1.2576 ดอลลาร์/ปอนด์ แต่ยังต่ำกว่าสูงสุดรอบ 3 เดือนที่ทำไว้เหนือ 1.28 ดอลลาร์/ปอนด์ในช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา


· WHO มองข่าวผลทดสอบการรักษาไวรัสโคโรนาด้วยสเตียรอยด์ ถือเป็นข่าวใหญ่

ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลกหรือ WHO กล่าวรับข่าวดีครั้งใหญ่เกี่ยวกับผลทดสอบทางการแพทย์ที่สะท้อนให้เห็นว่าการใช้ยาราคาถูกและมีแพร่หลายอย่างสเตียรอยด์ หรือที่เรียกว่า เดกซาเมทาโซน (Dexamethasone) สามารถช่วยรักษาผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสโคโรนาได้ และผลทดสอบดังกล่าวยังเป็นครั้งแรกที่ช่วยให้เห็นถึงจำนวนผู้ป่วยที่สามารถลดลงได้ รวมทั้งลดความเสี่ยงของผู้ป่วยที่ใช้เครื่องช่วยหายใจ และช่วยผู้ป่วยที่ต้องใช้ออกซิเจนเพื่อช่วยในการหายใจได้


· ผลประกอบการธนาคารสหรัฐฯดิ่งลง 70% อันเป็นผลจากไวรัสโคโรนา

เจ้าหน้าที่กำกับดูแลภาคธนาคาร เผย ผลประกอบการภาคธนาคารในสหรัฐฯปรับตัวลดลงประมาณ 69.6% ที่ระดับ 1.85 หมื่นล้านเหรียญในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ โดยทุกภาคธนาคารได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโคโรนา

The Federal Deposit Insurance Corporation รายงานถึงภาวะกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ได้รับความเสียหาย อันเนื่องจากกลุ่มผู้ให้กู้ประสบปัญหาการผิดนัดชำระหนี้ เพื่อป้องกันความเสียหายในอนาคต โดยเกินกว่าครึ่งของธนาคารทั้งหมดพบว่าผลประกอบการลดลงไป 7.3%


· จีนปรับลดเที่ยวบินเพื่อจำกัดความเป็นไปได้ของการแพร่ระบาดไวรัสโคโรนา

กรุงปักกิ่งทำการยกเลิกเที่ยวบินภายใน-นอกเพื่อควบคุมการระบาดของไวรัสโคโรนาในจีนที่เกิดขึ้นตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้วที่จุดประกายความกังวลครั้งใหม่เกี่ยวกับการระบาดของไวรัส โดยกระทรวงสาธารณสุขประจำกรุงปักกิ่งเผยยอดผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นที่ 31 รายเมื่อวันที่ 16 มิ.ย. ส่งผลให้ยอดรวมผู้ติดเชื้อตั้งแต่เดือนพ.ค. เพิ่มขึ้นแตะ 137 ราย ซึ่งเป็นระดับการเพิ่มขึ้นของยอดผู้ติดเชื้อที่ย่ำแย่ที่สุดตั้งแต่ช่วงต้นก.พ.


· ยอดส่งออกญี่ปุ่นร่วงลงมากที่สุดตั้งแต่ปี 2009 ท่ามกลางอุปสงค์จากสหรัฐฯที่อ่อนแอ

ยอดส่งออกของญี่ปุ่นในเดือนพ.ค. ร่วงลงมากกว่าคาดแตะ -28.3% ซึ่งเป็นระดับการปรับตัวลดลงที่มากที่สุดตั้งแต่ปี 2009 ท่ามกลางวิกฤตทางการเงิน จากยอดส่งออกรถยนต์ไปยังสหรัฐฯที่ลดลง จึงสอดคล้องกับคาดการณ์ที่จะเห็นเศรษฐกิจญี่ปุ่นหดตัวลงอย่างมากในไตรมาสนี้

ความอ่อนแอของความต้องการรถยนต์ทั่วโลก และการชะลอค่าใช้จ่ายทางภาคธุรกิจดูจะฉุดให้ยอดส่งออกของญี่ปุ่นแย่ลง ขณะที่ภาคการค้าในจีนก็ยังคงอ่นแอ จึงบั่นทอนความหวังที่จะเห็นอุปสงค์จากจีนเพิ่มขึ้นเพื่อชดเชยกับความต้องการที่ลดลงของบรรดาประเทศคู่ค้า


· ออสเตรเลียมีแนวโน้มจะปิดประเทศต่อจนถึงปี 2021

รัฐมนตรีกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ประเทศออสเตรเลียยังไม่มีแนวโน้มจะกลับมาเปิดประเทศให้นักท่องเที่ยวต่างชาติจนถึงปีหน้า แต่อาจมีการผ่อนคลายกฎการเข้าเมืองให้แก่นักศึกษาและผู้เดินทางเพื่อเหตุอื่นๆในระยะยาว

อย่างไรก็ดี ประเทศออสเตรเลียค่อนข้างประสบความสำเร็จในการควบคุมการระบาดของไวรัสโคโรนา ด้วยการจำกัดการเดินทางและการเดินทางระหว่างประเทศ รวมทั้งการใช้มาตรการ Social Distancing


· นักเศรษฐศาสตร์ มองอาจเห็นผลกระทบเล็กน้อยจากการที่รัสเซียน่าจะทำการปรับลดดอกเบี้ยแตะระดับต่ำสุดเป็นประวัติศาสตร์

ธนาคารกลางรัสเซีย (CBR) ถูกคาดว่าจะทำการปรับลดดอกเบี้ยลงเป็นระดับประวัติศาสตร์ในวันศุกร์นี้ หลังจากที่ทางผู้ว่าการธนาคารกลาง CBR กล่าวในสัปดาห์ที่แล้วถึงเรื่องเงินเฟ้ออยู่ระดับต่ำต่อเนื่อง 5 เดือนในปีนี้ และนี่อาจเป็นสาเหตุที่เร่งให้ธนาคารกลางมีการปรับลดดอกเบี้ย ท่ามกลางแนวโน้มเศรษฐกิจที่เผชิญกับผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโคโรนา

บรรดานักเศรษฐศาสตร์ คาดว่าการดำเนินการดังกล่าวอาจเห็น CBR ลดดอกเบี้ยลงประมาณ 0.5% สู่ระดับ 5% หลังจากที่ปรับลดลงไปแล้ว 0.5% ในเดือนเม.ย. ซึ่งถือเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่มิ.ย. ปี 2010


· ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงหลังสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯเพิ่ม และความกังวลไวรัสโคโรนา

ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงท่ามกลางสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯที่เพิ่มสูงขึ้น โดย API เปิดเผยข้อมูลสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯที่ปรับขึ้นมากกว่าคาด 3.9 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว แตะระดับ 543.2 ล้านบาร์เรล จึงเพิ่มมุมมองว่าอาจเห็นภาวะอุปทานน้ำมันล้นตลาด และความเป็นไปได้ที่จะเกิด Second Wave ขณะที่การระบาดของไวรัสโคโรนารอบใหม่จะทำให้การฟื้นตัวทางอุปสงค์น้ำมันหดตัว

น้ำมันดิบ Brent ปรับลง 29 เซนต์ หรือ -0.7% ที่ 40.67 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ WTI ปรับลง 43 เซนต์ หรือ -1.1% ที่ 37.95 เหรียญ/บาร์เรล

ทั้งนี้ น้ำมันดิบทั้งสองชนิดปรับตัวขึ้นได้กว่า 3% หลังจากที่ EIA ปรับเพิ่มคาดการณ์อุปสงค์น้ำมันปีนี้แตะ 91.7 ล้านบาร์เรล/วัน ประกอบกับยอดค้าปลีกที่เพิ่มขึ้นในเดือนพ.ค.


· Barclays ปรับเพิ่มคาดการณ์ราคาน้ำมันปีนี้ คาด WTI เฉลี่ยที่ $37

ทีมวิจัยของ Barclays คาดการณ์ ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นในปี 2020 แต่ยังคงต้องระมัดระวังต่อทิศทางราคาระยะสั้น

ปรับเพิ่มคาดการณ์ราคาน้ำมันดิบปีนี้ขึ้น 4 เหรียญ/บาร์เรล

- คาดราคาน้ำมันดิบ Brent อยู่ที่ 41 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ WTI อยู่ที่ 37 เหรียญ/บาร์เรล

- ควรระมัดระวังการลงทุนในระยะสั้

- การเพิ่มขึ้นของอุปสงค์จะขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของผู้บริโภค

- ความกังวลของไวรัสโคโรนาครั้งใหม่ส่งผลต่อความต้องการในการขับขี่ที่ลดลง


· เกาหลีใต้จะไม่ยอมต่อพฤติกรรมที่ไร้เหตุผลของเกาหลีเหนือ

นายมุน แจ-อิน ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ กล่าวที่ทำเนียบประธานาธิบดี (Blue House) โดยระบุว่า การวิจารณ์ล่าสุดของเกาหลีเหนือเป็นเรื่องไร้สาระ และเกาหลีใต้จะไม่ยอมรับต่อการกระทำที่ไร้ซึ่งเหตุผล

ทั้งนี้ ประธานาธิบดีเกาหลีใต้กล่าวหลังจากที่ทางเกาหลีเหนือมีการระเบิดศูนย์ประสานงานแห่งชาติเกาหลีบริเวณพรมแดนเขตระหว่างสองประเทศ


· ตึงเครียดระหว่างเกาหลีเหนือและใต้อาจรุนแรงขึ้นต่อหลังจากที่เกาหลีเหนือระเบิดสำนักงานล่าสุด

ความตึงเครียดระหว่างประเทศเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้อาจทวีความรุนแรงมากขึ้นหลังจากที่เกาหลีเหนือได้ทำการระเบิดศูนย์ประสานงานเกาหลีบริเวณพรมแดนสองประเทศวไปล่าสุด และความตึงเครียดระหว่างสองชาติน่าจะค่อยๆทวีความรุนแรงมากขึ้น

ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่เกาหลีเหนือได้ทำการประกาศจะตัดการติดต่อสื่อสารตรงกับทางเกาหลีใต้ พร้อมขู่จะยกเลิกข้อตกลงทางการทหารระหว่างสองประเทศที่มีขึ้นไว้เพื่อลดความตึงเครียดบริเวณพรมแดน

อย่างไรก็ดี เจ้าหน้าที่อาวุโสจากสถาบัน Brookings กล่าวเตือนว่า เหตุการณ์ไม่ค่าดคิด, ความไม่มีเสถียรภาพทั่วโลกดูจะไม่สามารถรู้ได้ ซึ่งต้องขึ้นอยู่กับความเคลื่อนไหวของเกาหลีเหนือเป็นหลัก


บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com