· ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง ท่ามกลางความเชื่อมั่นสินทรัพย์เสี่ยงจะฟื้นตัวขึ้นหลังจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโคโรนา ขณะที่กิจกรรมภาคการผลิตเดือน พ.ค. ในสหรัฐฯแม้จะแย่กว่าที่คาดแต่ก็ดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า โดยยืนได้เหนือระดับต่ำสุดในรอบ 11 ปี ท่ามกลางการกลับมาเปิดทำการในภาคธุรกิจ
ในส่วนของข้อมูล PMI จีนที่ประกาศก่อนหน้าก็ออกมาดีขึ้น ทางด้าน PMI ของยูโรโซนก็ฟื้นตัวได้ในเดือนพ.ค. หลังจากที่ลงไปทำต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ในเดือนเม.ย. แม้ว่ากิจกรรมการผลิตในบางแห่งจะยังหดตัวลงอย่างหนัก อาทิ ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้
ดัชนีดอลลาร์อ่อนค่าลง 0.4% ที่ 98.829 จุด ซึ่งเป็นต่ำสุดตั้งแต่ 16 มี.ค.
ค่าเงินยูโรแข็งค่าขึ้นแตะ 1.1132 ดอลลาร์/ยูโร หลังจากที่ช่วงต้นตลาดไปทำแข็งค่ามากสุด 1.1153 ดอลลาร์/ยูโร ซึ่งเป็นระดับแข็งค่ามากสุดตั้งแต่ 17 มี.ค.
ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียแข็งค่าขึ้น 1.97% ที่ 0.6797 ดอลลาร์ออสเตรเลีย ซึ่งเป็นระดับแข็งค่ามากสุดตั้งแต่ 17 ม.ค.
ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯและจีนยังคงสร้างความผันผวนให้แก่สินทรัพย์เสี่ยง
นอกจากนี้ ดอลลาร์ยังอ่อนค่าหลังจากที่มีรายงานว่าจีนจะทำการยุติการเข้าซื้อถั่วเหลืองและเนื้อหมูจากสหรัฐฯ จึงยิ่งเพิ่มความกังวลในเรื่องข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนที่อาจบั่นทอนกันได้
แหล่งข่าวระบุกับสำนักข่าวรอยเตอร์สว่า จีนพร้อมที่จะระงับการนำเข้าสินค้าในกลุ่มเกษตรของสหรัฐฯเพิ่ม หากสหรัฐฯยังต้องใช้มาตรการเพิ่มเติมจากกรณีกฎหมายความมั่นคงฮ่องกง
· ทรัมป์ขู่จะใช้กำลังทางทหารจัดการกับกลุ่มประท้วงกรณี นายจอร์จ ฟลอยด์ เสียชีวิต
รายงานจาก CNBC กล่าวว่า สหรัฐฯเตรียมดำเนินการกับกลุ่มผู้ประท้วงที่ใช้ความรุนแรงจากเหตุนายจอร์จ ฟลอยด์ ที่เสียชีวิตจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ขู่ว่าจะใช้กำลังทางทหารเข้าจัดการหากรัฐและเมืองต่างๆยังคงล้มเหลวในการปราบปรามกลุ่มผู้ประท้วง เพื่อปกป้องประชาชนและทรัพย์สินของประชาชน
นอกจากนี้ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ยังเรียกร้องให้ผู้ว่าการรัฐต่างๆทำการตอบโต้กลุ่มผู้ประท้วงที่เปรียบเสมือนผู้ก่อการร้าย พร้อมกล่าวเตือนผู้ว่าการรัฐต่างๆที่อาจจะดำเนินการหากไม่นำตัวกลุ่มผู้ประท้วงเข้าคุก
· หลายประเทศมีแผนเร่งเปิดทำการ ขณะที่อังกฤษเสี่ยงเจอ Second Wave
หลายๆประเทศในสหรัฐฯกำลังประสบกับปัญหาการประท้วงจากเหตุการใช้ความรุนแรงของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ส่งผลให้ชาวผิวสีเสียชีวิตในรัฐมินนีแอโพลิส จึงยิ่งเพิ่มความกังวลเกี่ยวกับการระบาดของไวรัสโคโรนาที่อาจเพิ่มสูงขึ้นหลังจากที่สหรัฐฯมียอดผู้ติดเชื้อพุ่งทะลุเกิน 1.7 ล้านราย
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ในบางรัฐและหลายๆเมืองต่างก็เรียกร้องให้กลุ่มผู้ประท้วงทำการตรวจหาเชื้อไวรัสโคโรนาและจำกัดการเคลื่อนไหวเพื่อหลีกเลี่ยงการติดเชื้อ
ล่าสุดสหรัฐฯมีผู้ติดเชื้อเพิ่ม 21,716 ราย สู่ระดับ 1.86 ล้านราย ด้านผู้เสียชีวิตเพิ่ม 726 รายสู่ระดับ 106,921 ราย
· กลุ่มผู้เชี่ยวชาญเตือน การประท้วงอาจยิ่งทำให้ไวรัแพร่ระบาด
ดร. สก็อต จากคณะกรรมาธิการองค์การอาหารยากล่าวว่า การประท้วงในสหรัฐฯอาจทำให้การระบาดของไวรัสโคโรนาในกลุ่มประชาชนเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากการชุมนุมประท้วงมีการขยายวงกว้างเป็นการชุมนุมขนาดใหญ่ จึงทำให้เป็นกังวลต่อการจะระบาดของไวรัสโคโรนามากขึ้น เนื่องจากการขาดวินัยในการเว้นระยะทางสังคม และฝูงชนยิ่งหนาแน่นมากยิ่งทำให้ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด
· สำนักงบประมาณคองเกรสสหรัฐฯชี้ไวรัสโคโรนาจะทำให้เศรษฐกิจประเทศเสียหายเกือบ 8 ล้านล้านเหรียญ
สำนักงบประมาณคองเกรส (CBO) ประเมินว่า การระบาดของไวรัสโคโรนาจะสร้างความเสียหายแก่กิจกรรมทางเศรษฐกิจ คิดเป็นมูลค่า 7.9 ล้านล้านเหรียญตลอดช่วง 10 ปีข้างหน้านี้ แม้ว่าจะมีการช่วยเหลือผ่านกองทุนต่างๆในการชดเชยกับผลกระทบของการระบาดของไวรัสโคโรนาก็ตาม
โดยงบประมาณปี 2030 คาดว่าจะเห็นผลผลิตทางเศรษฐกิจลดลงอย่างแท้จริง และเงินเฟ้ออาจปรับขึ้นไป 3% จากคาดการณ์เบื้องต้นในเดือนม.ค. ก่อนการระบาด
ทั้งนี้ การปิดภาคธุรกิจหรือการมีมาตรการ Social Distancing ถูกคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายของผู้บริโภค และอย่างที่เห็นล่าสุดคือราคาน้ำมันที่ลดลง และคาดว่าจะส่งผลให้เกิดการลดการลงทุนในกลุ่มพลังงานด้วย
· ฟอลซีกังวลเกี่ยวกับการระบาดครั้งใหม่จากการกลับมาเปิดทำงาน
ดร. แอนโทนี ฟอลซี ผู้อำนวยการสถาบันโรคระบาดและการติดเชื้อแสดงความเป็นกังวลเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่จะเห็นการติดเชื้อไวรัสโคโรนาเพิ่มสูงขึ้น และหากประชาชนยังคงมีจำนวนมากขึ้นในการออกเดินทางก็อาจเห็นการระบาดได้ ขณะที่ความคืบหน้าเกี่ยวกับวัคซีนนั้น จะเห็นได้ว่าเฟสแรกของการทดลองวัคซีนของบริษัท Moderna ค่อนข้างเป็นไปในเชิงบวกในกระบวนการของแอนตี้บอดี้ ซึ่งทางบริษัท Moderna จะทำการรอคอยข้อมูลการทดลองของเฟสแรกทั้งหมดก่อนเปิดเผยต่อสาธารณชนอีกครั้ง
· นักวิทยาศาสตร์ ชี้ อังกฤษเสี่ยงเผชิญ Second Wave จากการกลับมาเปิดทำการที่เร็วเกินไป
เจ้าหน้าที่นักวิทยาศาสตร์ระดับสูง กล่าวเตือนว่า การที่อังกฤษจะทำการถอนมาตรการ Lockdown ที่รวดเร็วเกินไป ก็อาจส่งผลให้ประเทศเสี่ยงที่จะเผชิญกับการระบาดของไวรัสโคโรนาระลอกสองได้
· Gilead เผย Remdesivir ช่วยคนไข้จากการติดเชื้อไวรัสโคโรนาระยะกลางได้
บริษัท Gilead Sciences เผยข้อมูลจากการทดลองวัคซีนเฟส 3 ที่บ่งชี้ว่า ตัวยาเรมเดอร์ซิเวอร์ สามารถช่วยคนไข้ที่ติดเชื้อไวรัสโคโรนาในระยะกลางได้ จากการทดลองช่วง 5 วันพบว่ามีประสิทธิภาพทางการรักษามากถึง 65% และมีแนวโน้มจะเห็นความคืบหน้าในการทดลองทางคลินิคมากขึ้นเป็นวันที่ 11
· คาดสิ้นปีนี้บราซิลจะมีสัดส่วนหนี้ 94% ของจีดีพี
รัฐมนตรีกระทรวงการคลังบราซิล เผย ประเทศบราซิลจะจบปี 2020 ด้วยระดับหนี้สินที่มากถึง 94% ของจีดีพี ดังนั้น บราซิลจึงจำเป็นต้องเพิ่มการปฏิรูปทางการเงินมากขึ้น
โดยรัฐบาลบราซิลมีการปรับทบทวนคาดการณ์ระดับหนี้ปี 2020 ที่ ณ ขณะนี้มองว่าจะคิดเป็น 93.5% ของจีดีพี ขณะที่ประเมินว่าจีดีพีจะหดตัวลงแตะ -4.7% ด้านนักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่กังวลอาจเห็นการหดตัวของจีดีพีที่มากเป็นประวัติการ์ณ -6.3%
ล่าสุด บราซิลมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น 14,169 รายสู่ระดับ 529,018 ราย และมีผู้เสียชีวิตใหม่ 732 ราย สู่ระดับ 30,046 ราย
· รองรัฐมนตีรกระทรวงการคลัง กล่าวว่า เกาหลีใต้จะทำการเสริมสภาพคล่องทางการเงินแก่ตลาดต่างๆ หากตึงเครียดสหรัฐฯจีนเกี่ยวกับกรณีฮ่องกงยังเป็นปัจจัยสร้างความผันผวนที่มากขึ้น
· น้ำมันอ่อนตัวจากตึงเครียดสหรัฐฯ-จีนเป็นตัวกดดัน
สัญญาน้ำมันดิบเมื่อวานนี้ปรับตัวสูงขึ้นท่ามกลางความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯและจีนที่กดันความเชื่อมั่น แต่ราคาน้ำมันในตลาดก็ยังมีแรงหนุนที่ช่วยพยุงการปรับลงครั้งนี้ได้จากข่าวที่โอเปกและรัสเซียเข้าใกล้การบรรลุการขยายข้อตกลงการปรับลดกำลังการผลิต
น้ำมันดิบ WTI ปิดปรับลง 5 เซนต์ หรือ -0.14% ที่ระดับ 35.44 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ Brent ปรับขึ้น 48 เซนต์ หรือ +1.3% ที่ 38.32 เหรียญ/บาร์เรล
กลุ่มนักลงทุนยังคงเฝ้า หลังมีข่าวว่าจีนกล่าวเตือนจะทำการตอบโต้สหรัฐฯจากการเคลื่อนไหวกรณีกฎหมายฮ่องกง
แหล่งข่าว เผย จีนเรียกร้องให้บรรดาบริษัทภาครัฐทำการระงับการเข้าซื้อถั่วเหลือและเนื้อสัตว์จากสหรัฐฯ หลังสหรัฐฯถอนสถานะพิเศษฮ่องกง