• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 18 พฤษภาคม 2563

    18 พฤษภาคม 2563 | Economic News



·         ค่าเงินดอลลาร์ปรับแข็งค่าขึ้นในคืนวันศุกร์ประมาณ 0.07%  แตะ 100.34 จุด และทำให้ภาพรายสัปดาห์ปรับขึ้นตามได้เล็กน้อยเหตุกังวลการระบาดรอบ 2 ของไวรัสโคโรนา ประกอบกับนักลงทุนกังวลต่อข้อมูลยอดค้าปลีกสหรัฐฯในคืนวันศุกร์

ความต้องการดอลลาร์ในฐานะ Safe-Haven ยังมีต่อเนื่องแม้ว่าข้อมูลยอดค้าปลีกจะเป็นตัวกดดันดอลลาร์อยู่บ้างก็ตาม เนื่องจากตลาดกังวลว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯจะเผชิญกับภาวะหดตัวลงอย่างมากในช่วงไตรมาสที่ 2/20 นี้ นับตั้งแต่ที่เคยเกิดวิกฤต Great Depression






ยอดค้าปลีกสหรัฐฯร่วงลงทำต่ำสุดเป็นประวัติการณ์แตะ -16.4% ในเดือนเม.ย. ซึ่งเป็นการร่วงลงกว่า 2 เท่าเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าที่อยู่ที่ระดับ -8.3% ท่ามกลางภาคธุรกิจที่เผชิญกับภาวะ Shutdown จากการระบาดของไวรัสโคโรนา ที่ดูจะกดดันให้เศรษฐกิจของสหรัฐฯนั้นหดตัวลงด้วย

อย่างไรก็ดี ภาพรวมยอดข้าปลีกเมื่อเทียบรายปีพบว่าหดตัวไปกว่า 21.6% ซึ่งถือว่าเป็นการหดตัวลงมากที่สุดตั้งแต่ปี 1992

ทั้งนี้ ข้อมูลยอดค้าปลีกสหรัฐฯที่อ่อนแอ รวมไปถึงข้อมูลจ้างงานที่หดตัวมากเป็นประวัติการณ์ ก็ได้สะท้อนถึงสัญญาณการดิ่งลงของเศรษฐกิจสหรัฐฯอย่างมาก และทำให้นักวิเคราะห์หลายรายๆ กล่าวเตือนว่าอาจใช้เวลาหลายปีในการฟื้นตัว สอดคล้องกับถ้อยแถลงเฟดก่อนหน้าเกี่ยวกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่อาจต้องใช้เวลาเช่นกัน

ด้านอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯปรับตัวลดลงจากกลุ่มนักลงทุนที่ตอบรับกับข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอ โดยอัตราผลตอบแทนอายุ 10 ปี ปรับตัวลงไปแตะ 0.595% ทางด้านอายุ 30 ปี ปรับลง 0.4% ที่ 1.256%

ค่าเงินยูโรแข็งค่าเล็กน้อย 0.16% ที่ 1.082 ดอลลาร์/ยูโร ขณะที่ปอนด์อ่อนค่าลงไป 0.85% ทำต่ำสุดตั้งแต่ 26 มี.ค. ที่ 1.212 ดอลลาร์/ยูโร หลังจากที่ผู้แทนเจรจา Brexit ของอียู กล่าวว่า การเจรจารอบ 3 กับทางอังกฤษนั้นเป็นไปอย่างน่าผิดหวัง

 

·         ประธานเฟด ระบุถึง เศรษฐกิจสหรัฐฯอาจไม่สามารถฟื้นตัวได้เต็มรูปแบบหากปราศจากวัคซีน

 

นายเจอโรม โพเวลล์ ประธานเฟด กล่าวว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯอาจไม่สามารถฟื้นตัวจากความอ่อนแอในปัจจุบันได้หากยังปราศจากวัคซีนสำหรับไวรัสโคโรนา ดังนั้น จึงอาจใช้เวลานานมากกว่าระยะกลางในการจะเห็นเศรษฐกิจฟื้นตัว

 

นอกจากนี้ ประธานเฟด ยังกล่าวถึงการที่รัฐบาลสหรัฐฯยังจำเป็นต้องให้การสนับสนุนทางการเงินเป็ฯเวลา 3-6 เดือน เพื่อช่วยเหลือภาคบริษัทและประชาชน

 

อย่างไรก็ดี นายโพเวลล์ ยังระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯจะฟื้นตัวได้ก็ขึ้นอยู่กับความรู้สึกปลอดภัยของชาวอเมริกาด้วยเช่นกันว่ามากน้อยเพียงใด แต่จากการประเมินสถานการณ์เขาไม่คิดว่าจะเกิดภาวะ Second Wave ดังนั้น เศรษฐกิจจะค่อยๆฟื้นตัวในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี แต่จะฟื้นตัวได้อย่างเต็มที่หรือไม่นั้นขึ้นอยู่ว่าการพัฒนาวัคซีนป้องกันไวรัสโรนาเร็วหรือช้าเพียงใด

 

·         รายงานจาก Wall Street Journal เผยว่า สหรัฐฯถูกคาดว่าจะมีการปรับทบทวนโครงการช่วยเหลือภาคธุรกิจขนาดเล็กในการจัดการกับวิกฤตไวรัสโคโรนาเวลานี้ โดยอาจนำมาซึ่งความยืดหยุ่นให้แก่ภาคธุรกิจมากขึ้น ควบคู่กับการขยายเวลาเงินกู้ออกำไปอีก 2 เดือนภายใต้โครงการ Paycheck Protection Program

 

·         บรรดาผู้นำยุโรปกล่าวเตือนว่าวัคซีนป้องกันไวรัสจะยังไม่เกิดขึ้นในเร็วๆนี้

2 ผู้นำของยุโรปกล่าวเตือนประชาชนในการปรับตัวในการใช้ชีวิตให้เข้ากับสถานการณ์ที่มีการระบาดของไวรัสโคโรนาโดยไม่ต้องรอให้เกิดความคืบหน้าเรื่องวัคซีนใดๆ

นายกุยเซปเป้ นายกรัฐมนตรีอิตาลี และนายจอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังฤษ ต่างเตือนประชาชนของตนเอง หลังจากที่เริ่มคลาย Lockdown ทางเศรษฐกิจเช่นเดียวกับสหรัฐฯ โดยต่างก็ระบุถึงว่ายังคงมีความเสี่ยง และยังต้องให้ความสนใจต่อการระบาดที่อาจกลับมาอีกครั้งได้ ประชาชนจึงควรปรับตัวและมีความระมัดระวังมากขึ้น

ขณะที่การพัฒนาวัคซีนนั้น บรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพลายราย กล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่าอาจต้องใช้ระยะเวลาหลายเดือน และอาจไม่เกิดขึ้นได้ในปีนี้ ดังนั้น เราจึงไม่ควรยกเลิกการปฏิบัติตามกฎการเข้าสังคมเพื่อป้องกันตนเอง ขณะที่เศรษฐกิจของอิตาลีถูกคาดว่าปีนี้จะหดตัวลงไปมากถึง -9%

ด้านผู้นำอังกฤษ กล่าวว่า การพัฒนาวัคซีนทั้งหมดยังไม่เกิดความคืบหน้า แม้ว่าทั่วโลกจะพยายามร่วมมือกันก็ตาม ดังนั้น จึงอาจต้องใช้เวลาค่อนข้างนานที่จะเห็นวัคซีนนั้นสัมฤทธิ์ผล

สถานการณ์จำนวนผู้ติดเชื้อในอังกฤษหรือเป็นประเทศที่มีผู้เสียชีวิตมากสุดเป็นลำดับที่ 1 ของยุโรป พบว่าล่าสุดมีผู้เสียชีวิตลดลงด้วยอัตรา 170 รายในวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ถือเป็นระดับต่ำที่สุดตั้งแต่ 24 มี.ค. และลดลงจากวันก่อนหน้าที่มีผู้เสียชีวิตที่ 468 ราย


·         ราคาน้ำมันดิบปิดปรับตัวสูงขึ้นและทำให้ภาพรวมถือเป็นสัปดาห์ที่ 3 ที่ราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้น จากความต้องการน้ำมันดิบในจีนที่เพิ่มขึ้นหลังจากที่มีการคลาย Lockdown จึงช่วยหนุนให้ความกังวลเกี่ยวกับอุปทานโลกลดน้อยลงไป

น้ำมันดิบ Brent ปิดปรับขึ้น 1.14 เหรียญ หรือ +3.66% ที่ 32.27 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ WTI ปรับขึ้น +5.9% ปิดที่ 29.52 เหรียญ/บาร์เรล และระหว่างวันปรับตัวสูงขึ้นได้มากถึง 9%

ท่ามกลางการปรับลดกำลังการผลิตของกลุ่ม OPEC และชาติพันมิตรก็ดูจะเป็นอีกแรงที่ช่วยหนุนอุปสงค์น้ำมันได้ แต่ตลาดก็ยังคงมีความกังวลว่าการระบาดรอบใหม่อาจเกิดขึ้นฉุกเฉินในบางประเทศที่มีการผ่อนคลาย Lockdown




บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com