• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 15 พฤษภาคม 2563

    15 พฤษภาคม 2563 | Economic News

·         สถานการณ์การระบาดของไวรัสโคโรนา:

 

ประเทศที่ยังมีอัตราการเพิ่มในระดับสูง

·         จำนวนผู้ติดเชื้อในสหรัฐฯล่าสุดมีผู้ติดเชื้ออยู่ที่ 1,457,293 ราย (+26,946) และมีผู้เสียชีวิตที่ระดับ 86,908 ราย (+1,711)

·         จำนวนผู้ติดเชื้อในรัสเซียล่าสุดอยู่ที่ 252,245 ราย (+9,974) และมีผู้เสียชีวิตอยู่ที่ระดับ 2,305 ราย (+93)

·         จำนวนผู้เชื้อในบราซิลล่าสุดอยู่ที่ 202,918 ราย (+13,761) และมีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นที่ระดับ 13,993 ราย (+835)

·         จำนวนผู้ติดเชื้อในไทยล่าสุดรวมผู้ติดเชื้อสะสมอยู่ที่ 3,018 ราย (+1) และมีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นรวมสะสม 56 ราย


 

·         ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าทำสูงสุดรอบ 3 สัปดาห์ ท่ามกลางตลาดหุ้นอ่อนแรงหลังจากที่นายเจอโรม โพเวลล์ ประธานเฟดส่งสัญญาณจะไม่ใช้ดอกเบี้ยนโยบายระดับติดลบ ขณะที่หุ้นยุโรปและสหรัฐฯปิดปรับตัวลดลงติดต่อกันเป็นวันที่ 3 จึงทำให้นักลงทุนมีการกลับถือครองสินทรัพย์เสี่ยง ประกอบกับถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่หน่วยงานการควบคุมการระบาดและโรคติดต่อของสหรัฐฯในช่วงต้นสัปดาห์ที่พูดถึงเรื่องการปลด Lockdown อาจทำให้เกิดการติดเชื้อเพิ่มขึ้น ถือเป็นปัจจัยลบต่อตลาดการเงิน

นอกจากนี้ ถ้อยแถลงของนายทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯที่แสดงความผิดหวังในจีนเกี่ยวกับการควบคุมโรคระบาดและการไม่อยากสานสัมพันธ์ทางการค้าด้วยดูจะทำให้ตลาดกลับมากังวลเรื่องความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนอีกครั้ง

ดัชนีดอลลาร์แข็งค่าขึ้น 0.3% ที่ 100.41 จุด หลังไปทำสูงสุดในช่วง 3 สัปดาห์ที่ 100.56 จุด

การที่ประธานเฟดแสดงจุดยืนเรื่องการจะไม่ปรับดอกเบี้ยสู่ระดับติดลบดูจะทำให้คาดการณ์จะเห็นระดับดอกเบี้ยติดลบมีโอกาสลดลงไป

จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์สหรัฐฯออกมาแย่กว่าที่คาด โดยสัปดาห์ที่แล้วมีคนว่างงานแตะ 2.981 ล้านราย จากข้อมูลก่อนหน้าที่ 3.176 ล้านราย

ค่าเงินยูโรอ่อนค่าลง 0.2ที่ระดับ 1.0793 ดอลลาร์/ยูโร

ค่าเงินปอนด์อ่อนค่าลงต่ำกว่า 1.22 ดอลลาร์/ปอนด์ เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 5 สัปดาห์ หลังจีดีพีอังกฤษหดตัวลงไปมากถึง -5.8ในเดือนมี.ค. จากความตึงเครียดเรื่องการระบาดของไวรัสโคโรนา


·         นายโรเบิร์ต เคพแลนด์ ประธานเฟดสาขาดัลลัส กล่าวว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯจำเป็นต้องกลับมาเดินหน้าเปิดทำการอีกครั้งหลังจากที่ภาวะ Shutdown ได้ช่วยชะลอการระบาดของไวรัสโคโรนาได้ แต่การจะกลับมาเปิดทำการก็ควรทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป และมีการตรวจหาผู้ติดเชื้อเพียงพอเพื่อให้ประชาชนมีความผ่อนคลายและสบายใจมากขึ้น


·         รายงานจากรอยเตอร์ส ชี้ว่า เฟดมีการเข้าซื้อสินทรัพย์มากขึ้นใกล้แตะ 7 ล้านล้านเหรียญในสัปดาห์นี้ แต่หลายๆโครงการของเฟดก็จะพิจารณาขึ้นอยู่กับธนาคารและนักลงทุน

ทั้งนี้ ในช่วงสัปดาห์ที่สิ้นสุดเมื่อ 13 พ.ค. พบว่าเฟดมีการเข้าซื้อสินทรัพย์เพิ่มขึ้นสุทธิ 2.12 แสนล้านเหรียญ แตะ 6.98 ล้านล้านเหรียญ โดยที่การเข้าซื้อพันธบัตร Mortgage เพิ่มสูงขึ้น ด้าน Corporate Bond โดยรวมมีการเข้าซื้อที่ 305 ล้านเหรียญ จากแผนนโยบายของเฟดที่เพิ่งเริ่มต้นเมื่อวันอังคาร


·         Goldman Sachs คาด เฟดจะพิจารณาใช้ดอกเบี้ยติดลบ หากเกิด Second wave

นักวิเคราะห์จาก Goldman Sachs คาด หากมีสาเหตุที่ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯชะลอตัวลงอย่างมากอีกครั้งหนึ่ง โดยเฉพาะในกรณีที่เกิดการระบาดรอบที่สองของโคโรนาไวรัส (Second wave) ก็จะเป็นปัจจัยที่สนับสนุนให้เฟดหันมาพิจารณาใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยในระดับติดลบ แต่การใช้นโยบายดังกล่าวจะไม่สามารถช่วยเหลือเศรษฐกิจได้มากเท่าไหร่นัก

เมื่อคืนที่ผ่านมา นายเจอโรม โพเวลล์ ประธานเฟด ยืนยันว่าทางเฟดยังไม่มีแนวคิดที่จะใช้อัตราดอกเบี้ยติดลบแต่อย่างใด แม้ว่าธนาคารกลางบางแห่ง เช่นธนาคารกลางอังกฤษ ที่เริ่มส่งสัญญาณถึงการใช้นโยบายดังกล่าวบ้างแล้ว

แม้ทาง Goldman Sachs จะไม่ได้ระบุว่าทำไมนโยบายดอกเบี้ยติดลบจะไม่สามารถช่วยเหลือเศรษฐกิจได้มากนัก แต่นักวิเคราะห์บางรายได้ยกตัวอย่างธนาคารกลางยุโรปและญี่ปุ่น ที่มีการใช้อัตราดอกเบี้ยในระดับติดลบมานานหลายปี แต่เศรษฐกิจของประเทศเหล่านี้ก็ไม่สามารถเติบโตได้เท่าที่ควร


·         แหล่งข่าวชี้ ทำเนียบขาวจะสนับสนุนนโยบายมอบเงินช่วยเหลือให้ประชาชนอีกครั้งหนึ่ง

รายงานจาก CNBC ที่อ้างอิงจากแหล่งข่าววงใน ระบุว่าทางทำเนียบขาวมีแนวโน้มสูงที่จะให้การสนับสนุนนโยบายมอบเช็คเงินช่วยเหลือให้กับชาวอเมริกันอีกครั้งหนึ่ง

แม้ทางทำเนียบขาวไม่ได้ให้รายละเอียดมา แต่ได้มีการแถลงการณ์ที่ระบุว่า ตามที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯได้ให้คำมั่นว่าจะช่วยเหลือชาวอเมริกันอย่างเต็มที่ เพื่อที่ทุกคนจะสามารถผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปได้ โดยรักษาสุขภาพ ฐานะ และเศรษฐกิจให้ดีที่สุด

ทั้งนี้ นโยบายจ่ายเงินช่วยเหลือประชาชนรอบแรกได้มอบเงินช่วยเหลือเป็นวงเงินรวมกว่า 2 ล้านล้านเหรียญ โดยมอบเงินผ่านมาตรการคืนภาษีของปี 2018 หรือ 2019 แบ่งเป็นประชาชนคนละ 1,200 เหรียญ หรือ 2,400 เหรียญสำหรับคู่สมรสที่จดทะเบียน ที่มีรายได้รายปีไม่เกิน 75,000 และ  150,000 เหรียญตามลำดับ หากมีรายได้สูงกว่านั้นจะถูกปรับลดตามลำดับขั้น และหากมีรายได้มากกว่า 98,000 หรือ 198,000 เหรียญ จะไม่ได้รับเงินช่วยเหลือ


·         สหรัฐฯจะเผชิญ ฤดูหนาวที่สาหัสที่สุด หากไม่สามารถดำเนินมาตรการรับมือไวรัสได้ตามกำหนดการ

Rick Bright อดีตประธานสถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพแห่งสหรัฐฯ หรือ BARDA ได้รายงานตนต่อสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ โดยเตือนถึงความยากลำบากทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ที่สุดในช่วงปลายปีของสหรัฐฯ หากไม่สามารถดำเนินมาตรการรับมือไวรัสได้ตามกำหนดการ


·         WHO เตือนอานใช้เวลานานถึง 5 ปีจึงจะควบคุมไวรัสได้

องค์การอนามัยโลกหรือ WHO กล่าวว่า อาจใช้ระยะเวลากว่า 4-5  ปี จึงจะสามารถควบคุมไวรัสโคโรนาได้ และถึงแม้วัคซีนจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด แต่ก็จะเห็นได้ว่าการมาของไวรัสโคโรนากำลังเป็นอุปสรรคทางด้านความมั่นคง, การผลิต และเครื่องมือต่างๆ ดังนั้น ถึงจะมีวัคซีนที่มีประสิทธิผล และมีมาตรการในการจำกัดการระบาดที่เป็นผลสำเร็จ แต่เราก็ต้องจับตาปัจจัยอื่นๆควบคู่ไปในช่วงที่เกิดการระบาดด้วย


·         นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ส่งสัญญาณที่ต้องการตัดสัมพันธ์กับจีนอันมีสาเหตุมาจากแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา พร้อมกล่าวว่า เขาไม่สนใจที่จะพูดคุยกับนายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน จึงสะท้อนว่าอาจเห็นสองประเทศมหาอำนาจมีการตัดสัมพันธ์ระหว่างกัน

ขณะที่ในช่วงการสัมภาษณ์ Fox Business Network นายทรัมป์ แสดงท่าทีที่ผิดหวังอย่างมากต่อความล้มเหลวของจีนในการควบคุมการระบาดของไวรัสโคโรนา และทำให้ข้อตกลงการค้าที่ทำร่วมกันกับจีนดูหมดคุณค่าลงไป


·         รายงานจากรอยเตอร์ส เผยว่า กลุ่มผู้ผลิตของอังกฤษอาจใช้เวลานานกว่าจะฟื้นตัวได้จากทีเผชิญผลกระทบของไวรัสโคโรนา และ 3 ใน 4 ของกลุ่มผู้ถูกสำรวจ ไม่คิดว่าภายในระยะเวลา 6 เดือนภาคธุรกิจต่างๆจะกลับสู่ภาวะปกติได้ ซึ่ง 36% เชื่อว่าต้องใช้เวลามากกว่า 1-2 ปี

หน่วยงานทางสุขภาพของจีนและบริษัทที่เกี่ยวกับทางการแพทย์ต่างๆถือเป็นภาคที่น่าสนใจและมีการลงทุนเพิ่มขึ้นกว่า 6.8 พันล้านเหรียญ ซึ่งเป็นรัดบสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่ ขณะที่ค่าใช้จ่ายทางการแพทย์จีนจะคิดเป็นร้อยละ 6.6 ของจีดีพีในปี 2018 เมื่อเทียบกับ 17.7% ของสหรัฐฯ


·         น้ำมันดิบปิดทะยานเกือบ 9% หลังสต๊อกน้ำมันดิบสหรัฐฯร่วง!

ราคาน้ำมันดิบสหรัฐฯวานนี้ปิดพุ่งขึ้นหลังจากที่ EIA ปรับลดคาดการณ์สต็อกน้ำมันดิบทั่วโลกลงในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้แม้ว่าตลาดจะมีความกังวลเกี่ยวกับ Second Wave ที่อาจเกิดขึ้นได้ในระยะเวลาไม่กี่เดือนข้างหน้า

ราคาน้ำมัน WTI ปิดปรับขึ้น 2.27 เหรียญ หรือ +8.98ที่ระดับ 27.56 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่น้ำมันดิบ Brent ปิดปรับขึ้น 1.94 เหรียญ หรือ +6.65ที่ 31.13 เหรียญ/บาร์เรล

ตลาดรีบาวน์ได้อีกครั้ง หลังจากที่วานนี้อ่อนตัวลงไปขานรับถ้อยแถลงของประธานเฟดที่เตือนว่าการอ่อนตัวทางเศรษฐกิจอาจใช้เวลานาน 



บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com