• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคค่ำ) ประจำวันที่ 12 พฤษภาคม 2563

    12 พฤษภาคม 2563 | Economic News

สถานการณ์ไวรัสโคโรนา:

Ø  จำนวนผู้ติดเชื้อทั่วโลกล่าสุดอยู่ที่ 4,268,496 ราย

Ø  จำนวนผู้เสียชีวิตทั่วโลกล่าสุดอยู่ที่ 287,463 ราย

Ø  จำนวนประเทศติดเชื้อทั่วโลกล่าสุดอยู่ที่ 212 ประเทศ

Ø  จำนวนผู้ติดเชื้อในสหรัฐฯล่าสุดมีผู้ติดเชื้ออยู่ที่ 1,385,834 ราย และมีผู้เสียชีวิตที่ระดับ 81,795 ราย

Ø  จำนวนผู้ติดเชื้อในไทยล่าสุดรวมผู้ติดเชื้อสะสมอยู่ที่ 3,017 ราย (+2) และมีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นรวมสะสม 56 ราย

 

-Dr. Fauci เตือนถึงผลกระทบที่เลวร้าย หากสหรัฐฯเปิดเศรษฐกิจเร็วเกินไป

รายงานจาก NY Times ระบุว่า Dr. Anthony Fauci ผู้บริหารสถาบันวิจัยโรคภูมิแพ้และโรคติดต่อแห่งสหรัฐฯ และหัวหน้าทีมเฉพาะกิจสำหรับการรับมือ COVID-19 มีแนวโน้มที่จะกล่าวเตือนสมาชิกวุฒิสภาในการรายงานตนคืนนี้ว่า หากสหรัฐฯกลับมาเปิดเศรษฐกิจเร็วเกินไป ชาวอเมริกันจะล้มตายและทรมานโดยไม่จำเป็น

 

- ฟิลิปปินส์ประกาศขยายระยะเวลาของมาตรการล็อคดาวน์กรุงมะนิลา เมืองหลวงของประเทศ ออกไปเป็น 11 สัปดาห์จนถึงเดือน มิ.ย. เพื่อพยายามชะลอการระบาดของไวรัสโคโรนา


 

·       ค่าเงินดอลลาร์ทรงตัวในแดนแข็งค่าท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับโอกาสเกิดการระบาดรอบที่สองของไวรัสโคโรนา ขณะที่สัญญาณของการเกิดความตึงเครียดทางการเป็นปัจจัยที่กดดันให้ตลาดอยู่ในภาวะระมัดระวัง

เมื่อคืนที่ผ่านมรา สมาชิกเฟดได้กล่าวถึงความเป็นไปได้ที่เฟดจะใช้อัตราดอกเบี้ยติดลบว่ามีความเป็นไปได้ต่ำ จึงเป็นแรงหนุนให้กับค่าเงินดอลลาร์ ขณะที่ความกังวลเกี่ยวกับโอกาสการระบาดรอบที่สองในจีน เยอรมนี และเกาหลีใต้ เป็นอีกปัจจัยที่หนุนความต้องการ Safe-haven 

ขณะที่ความไม่ชัดเจนเกี่ยวกับการที่รัฐบาลของหลายๆประเทศจะเดินหน้าผ่อนคลายมาตรการล็อคดาวน์ ก็เป็นอีกปัจจัยที่กดดันความเชื่อมั่นของตลาด

 

·       ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียอ่อนค่าลงมากถึง 0.8% ทำระดับต่ำสุดในรอบ 1 สัปดาห์ที่ 0.6432 ดอลลาร์ หลังจีนประกาศแบนการนำเข้าเนื้อจากออสเตรเลีย ก่อนที่จะค่าเงินจะแข็งค่าฟื้นกลับมาได้บางส่วน หลังจากรัฐมนตรีของออสเตรเลียระบุว่าการเคลื่อนไหวดังกล่าวมาจากเรื่องของกลไกการค้า ไม่ได้เกิดจากความขัดแย้งแต่อย่างใด

ค่าเงินสกุลหลักส่วนใหญ่ฟื้นตัวขึ้นจากแดนอ่อนค่าได้บางส่วน ยกเว้นค่าเงินเยนที่ยังแข็งค่าต่อเนื่องจากเมื่อวันจันทร์ ที่แข็งค่าได้ 1% ทำให้ค่าเงินเคลื่อนไหวใกล้ระดับแข็งค่าที่สุดในรอบ 1 เดือน

ค่าเงินยูโรอ่อนค่าต่ำกว่าระดับ 1.08 ดอลลาร์/ยูโร เป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 1 สัปดาห์ ก่อนจะฟื้นตัวขึ้นมาแถว 1.0802 ดอลลาร์/ยูโร ส่วนค่าเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์ฟื้นตัวเล็กน้อยและทรงตัวแถว 0.6083 ดอลลาร์

ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าเมื่อเทียบกับเงินเยน 0.3% แถว 107.36 เยน/ดอลลาร์

ส่วนดัชนีดอลลาร์แข็งค่าทำระดับสูงสุดในรอบ สัปดาห์ในช่วงการซื้อขายวันนี้ ก่อนจะย่อลงมาทรงตัวแถว 100.27 เยน/ดอลลาร์ ใกล้ระดับสูงสุดในรอบ สัปดาห์

 

·       EUR/USD: ยูโรยังอ่อนค่าต่ำกว่า 1.0800 จับตาแนวรับสำคัญอายุ 3 สัปดาห์

บทวิเคราะห์จาก FX Street ระบุว่าค่าเงินยูโรยังเคลื่อนไหวอ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์ประมาณ 0.13% แถว 1.0795 ดอลลาร์/ยูโร ท่ามกลางแรงกดดันจากความตึงเครียดระหว่างเยอรมนีและคณะกรรมการของสหภาพยุโรป รวมถึงความกังวลเกี่ยวกับความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน และสถานการณ์ไวรัส COVID-19 ที่กลับมาระบาดอีกครั้ง

EUR/USD four-hour chart

ในเชิงเทคนิค ค่าเงินกำลังเคลื่อนไหวใกล้เส้นเทรนแนวรับสำคัญอายุ 3 สัปดาห์ที่ 1.0775 ดอลลาร์/ยูโร และอยู่ต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ย 100-bar SMA ที่ 1.0850 ดอลลาร์/ยูโร โดยเมื่อพิจารณาจากการที่ค่าเงินสามารถรีบาวน์ขึ้นจากแนวรับของเทรนขาลงได้ติดต่อกัน ประกอบกับสัญญาณ RSI ที่อยู่ในแดนลบ จึงคาดว่าค่าเงินมีแนวโน้มจะปรับสูงขึ้นแบบ U-Turn ไปที่ระดับ 1.0850 ดอลลาร์/ยูโรที่เป็นแนวต้านระยะสั้น แต่ถ้าย่อตัวลงต่อและหลุดต่ำกว่า 1.0770 ดอลลาร์/ยูโร ค่าเงินจะมีความเสี่ยงอ่อนค่าต่อไปถึงระดับต่ำสุดของเดือน เม.ย. ที่ 1.0730 ดอลลาร์/ยูโร

นอกจากนี้ควรคำนึงไว้ว่าทิศทางขาขึ้นของค่าเงินอาจจะถูกกดดันโดยเส้นแนวต้านของเทรนขาขึ้นตั้งแต่ 30 มี.ค. แถวระดับ 1.0985 ดอลลาร์/ยูโรด้วยอีกเช่นกัน ระดับดังกล่าวจึงเป็นเป้าหมายถัดไปในกรณีที่ค่าเงินสามารถยืนเหนือ 1.0850 ดอลลาร์/ยูโรได้

 

·       พันธบัตรรัฐบาลปรับตัวสูงขึ้นท่ามกลางความกังวลของกลุ่มนักลงทุนเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่จะเกิด Second Wave ของการระบาดรอบใหม่ จึงส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี ปรับตัวลงแตะ 0.6938% ขณะที่พันธบัตรระยะยาวอายุ 30 ปี ปรับตัวลงแตะ 1.4011%

มุมมองเชิงบวกของตลาดเกี่ยวกับความพยายามในการกลับมาเปิดทำการทางเศรษฐกิจลดน้อยลงไป หลังจากที่เมืองอู่ฮั่นของจีนซึ่งเป็นศูนย์กลางการระบาดไวรัสโคโรนา พบจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนารายใหม่เพิ่มขึ้นหลังจากที่มีการผ่อนคลายมาตรการ Lockdown ในขณะที่สหรัฐฯและนานานประเทศทั่วโลกเริ่มต้นผ่อนคลายมาตรการ Lockdown

นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวเมื่อวานนี้ว่า ไม่เห็นด้วยกับการกลับมาเจรจาข้อตกลงการค้าเฟสแรกใหม่หลังจากที่ลงนามร่วมกันกับจีนไปแล้วเมื่อเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา

สำหรับคืนนี้ต้องติดตามข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ได้แก่ ข้อมูลเงินเฟ้อที่จะประกาศในช่วงเวลา 19.30น.

 

·       "ทรัมป์" เมินการแก้ไขข้อตกลงการค้าสหรัฐฯ-จีน หลังมีรายงานว่าเสนอยกเลิกข้อตกลงฉบับนี้

นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวว่า เขาไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขข้อตกลงการค้าเฟสแรกกับทางจีน  หลังมีรายงานว่าที่ปรึกษารัฐบาลจีนบางรายเรียกร้องให้มีการเปิดเจรจาเพื่อแก้ไขเงื่อนไขบางอย่าง รวมทั้งมีความเป็นไปได้ที่จีนจะประกาศให้ข้อตกลงดังกล่าวเป็นโมฆะ

ทั้งนี้ นายทรัมป์ กำลังพิจารณาที่จะยกเลิกข้อตกลงการค้ากับจีนเมื่อเดือนม.ค. เนื่องจากเขาต้องการทราบว่าจีนจะทำตามข้อตกลงในการเพิ่มการเข้าซื้อสินค้าสหรัฐฯจำนวนมหาศาลได้หรือไม่ ขณะท่ี่ประเด็นการแก้ไขข้อตกลงการค้าเฟสแรกนั้น นายทรัมป์ ไม่สนใจใดๆ เนื่องจากมีการลงนามข้อตกลงไปแล้ว ดังนั้น การที่จีนต้องการเจรจาใหม่ ก็เพื่อให้ได้เงื่อนไขทีดีกว่าแก่พวกเขาเอง

หนังสือพิมพ์แท็บลอยด์ของจีนอย่าง Global Times รายงานว่า มีที่ปรึกษาบางคนของจีนเสนอให้มีการพิจารณาความเป็นไปได้ในการยกเลิกข้อตกลงเพื่อให้มีการเปิดเจรจารอบใหม่ให้ได้เงื่อนไขที่เป็นประโยชน์ต่อจีน

 

·       ปัจจัยเสี่ยงต่อความมั่นคงของเศรษฐกิจยูโรโซน หลังศาลเยอรมนีตัดสินว่านโยบายของ ECB ผิดหลักรัฐธรรมนูญ

ความมั่นคงของเศรษฐกิจยูโรโซนดูเหมือนจะถูกท้าทายอีกครั้งหนึ่ง หลังจากเมื่อสัปดาห์ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญของเยอรมนีได้ตัดสินว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการเข้าซื้อพันธบัตรที่กำหนดโดย ECB นั้นผิดหลักรัฐธรรมนูญของเยอรมนีว่าด้วยเรื่องของอัตราส่วนงบประมาณ ทางธนาคารกลางของเยอรมนีรวมถึงรัฐบาลจึงไม่มีความจำเป็นต้องดำเนินการตามข้อกำหนดของ ECB

ทาง ECB ก็ไม่ได้อยู่เฉย และออกมาตอบโต้ทันที โดยระบุว่าแผนดำเนินการดังกล่าวได้รับความเห็นชอบจากศาลยุติธรรมของสหภาพยุโรป ไม่ใช่เฉพาะศาลในประเทศ อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งครั้งนี้ถือว่าเป็นกรณีที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ส่งผลให้เกิดความไม่แน่ไม่นอนเกี่ยวกับอนาคตของเศรษฐกิจยูโรโซน

นักวิเคราะห์จาก Jefferies มีความเห็นว่าหนึ่งในคำถามที่ผู้คนจะถามแน่นอนคือ กรณีนี้จะกลายเป็นปัจจัยที่ทำให้สหภาพยุโรปแตกแยกกันยิ่งกว่าเดิมหรือไม่?” ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่าจะไม่เป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดความแตกแยกระหว่างประเทศสมาชิกของสหภาพยุโรปทั้ง 19 ประเทศแต่อย่างใด

อย่างไรก็ตาม กรณีนี้อาจกระตุ้นประเทศที่สนับสนุนการใช้นโยบายคุมเข้มทางการเงิน อย่างออสเตรียหรือฟินแลนด์ ทำให้การออกเสียงสนับสนุนให้ ECB ใช้นโยบายคุมเข้มทางการเงินมีน้ำหนักมากขึ้นในอนาคต ตรงกันข้ามกับในปัจจุบันและเมื่อก่อน เนื่องจากนโยบายการของ ECB ค่อนข้างเอนเอียงไปฝั่งนโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย

 

·       จีนประกาศยกเว้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯบางรายการ

รัฐบาลจีนได้ประกาศยกเว้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯจำนวน 79 รายการ ซึ่งเป็นสินค้าในกลุ่มที่ถูกภาษีตอบโต้ในสงครามการค้าปีก่อน ท่ามกลางแรงกดดันจากทางสหรัฐฯให้จีนเร่งเพิ่มมูลค่าการนำเข้าจากสหรัฐฯให้ถึงเป้าหมายที่กำหนดร่วมกันในข้อตกลงการค้าเฟสแรก

กระทรวงการคลังจีนระบุว่าการละเว้นภาษีครั้งนี้จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 19 พ.ค. ปี 2020 และจะหมดอายุลงในวันที่ 18 พ.ค. ปี 2021 ซึ่งสินค้ากลุ่มที่ได้รับการยกเว้นภาษีครั้งนี้ มีแร่แรร์เอิร์ท แร่ทอง และแร่ซิลเวอร์ อยู่ในรายการด้วย

ทั้งนี้ แม้ทางกระทรวงจะไม่ได้ระบุมูลค่าของกลุ่มสินค้าที่จะได้รับการยกเว้นภาษี แต่เมื่อเดือน ก.พ. ที่ผ่านมา ทางจีนได้ระบุว่าจะพิจารณายกเว้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ 696 รายการ รวมถึงสินค้าสำคัญอย่าง เมล็ดถั่วเหลือง และผลิตภัณฑ์จากเนื้อหมูด้วย

 

·       อังกฤษ – ยุโรป เริ่มกลับมาเจรจาข้อตกลงการค้าหลัง Brexit อีกครั้ง

เมื่อคืนที่ผ่านมา ตัวแทนของรัฐบาลอังกฤษและสหภาพยุโรปได้เริ่มกลับมาเจรจาเกี่ยวกับข้อตกลงการค้า หลังการถอนตัวออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปของอังกฤษ โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะหาข้อตกลงร่วมกันในประเด็นสำคัญๆให้ได้ภายในเดือน มิ.ย. ก่อนที่จะเปลี่ยนหัวข้อการเจรจาไปยังประเด็นอื่นๆ แต่การเจรจาเมื่อคืนนี้มีความคืบหน้าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ทั้งนี้ หัวข้อของการเจรจาในสัปดาห์นี้จะครอบคลุมไปยังการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการ การประมง การคมนาคมและการบิน พลังงาน และหัวข้ออื่นๆ ส่วนการเจรจาในประเด็นถัดไปมีกำหนดการไว้ในช่วงสัปดาห์ของวันที่ 1 มิ.ย. โดยหลังจากสิ้นเดือน มิ.ย. ทั้งสองฝ่ายจะมาประเมินความคืบหน้าของการเจรจาร่วมกันก่อนที่จะตัดสินใจว่าจะเดินหน้าเจรจาต่ออย่างไร

 

·       นายฮารุฮิโกะ คุโรดะ ผู้ว่าการบีโอเจกล่าวว่า จะดำเนินการใดก็ตามที่สามารถหยุดภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่จากการระบาดของไวรัสโคโรนา นอกจากนี้ ยังได้เตือนว่า เศรษฐกิจที่ซบเซาทั่วโลกจะทำให้เศรษฐกิจของญี่ปุ่นแย่ลงกว่าเดิ

ในการแถลงถ้อยคำต่อรัฐสภาประจำครึ่งปีแรก นายคุโรดะกล่าวว่า บีโอเจกำลังใช้นโยบายการเงิน ที่บรรเทาผลกระทบด้านการเงินของภาคบริษัทและลดความผันผวนในตลาดการเงิน และได้ย้ำว่าเศรษฐกิจของญี่ปุ่น มีความไม่แน่นอนสูง” และขึ้นอยู่กับการควบคุมการระบาดของไวรัสโคโรนา

 

·       วันนี้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้น เพราะได้รับแรงสนับสนุนจากถ้อยแถลงเหนือความคาดหมายจากซาอุดิอาระเบียที่จะปรับลดกำลังการผลิตมากขึ้นในเดือนมิ.ย. เพื่อช่วยพยุงตลาดน้ำมัน ท่ามกลางการระบาดของไวรัสโคโรนาที่เข้ากระทบกับอุปสงค์น้ำมัน

น้ำมันดิบ Brent ปรับตัวขึ้นทำสูงสุดบริเวณ 30.11 เหรียญ/บาร์เรล ก่อนจะกลับมาทรงตัวแนว 29.87 เหรียญ/บาร์เรล หรือคิดเป็น +0.8% หลังจากที่ปิดร่วงลงไปวานนี้กว่า 1.34 เหรียญ

น้ำมันดิบ WTI ปรับขึ้น 1.6% หรือประมาณ 38 เหรียญ บริเวณ 24.52 เหรียญ/บาร์เรล หลังจากไปทำสูงสุดที่ 24.77 เหรียญ/บาร์เรล

สำนักข่าว CNN เผยรายงานที่ว่า ซาอุดิอาระเบียจะทำการปรับลดกำลังการผลิตเพิ่ม ล้านบาร์เรล/วันในเดือนมิ.ย. จากที่มีการลดกำลังการผลิตโดยรวมที่ 7.5 ล้านบาร์เรล/วัน หรือลดกำลังการผลิตลงอีก 40% จากเดือนเม.ย.

 

·       Oil Price Forecast: WTI ยืนเหนือ 24.00 เหรียญ ระยะสั้นยังเป็นการเคลื่อนไหวในกรอบ

บทวิเคราะห์จาก FX Street ระบุว่าราคาสัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน มิ.ย. กำลังเคลื่อนไหวในแดนบวกประมาณ 2.0% แถว 24.70 เหรียญ/บาร์เรล ในช่วงสายวันนี้

โดยก่อนหน้านี้ราคาได้รีบาวน์ขึ้นมาจากระดับ 23.73 เหรียญ/บาร์เรล และกำลังยืนเหนือแนวรับระยะสั้นที่ 23.45 เหรียญ/บาร์เรล

อย่างไรก็ตาม ราคาจะมีแนวต้านสำคัญที่คงอยู่มาตั้งแต่เมื่อสัปดาห์ก่อนแถว 25.30 – 25.40 เหรียญ/บาร์เรล เป็นแนวต้านที่กดดันทิศทางขาขึ้นขาขึ้นของราคา

ดังนั้น ทิศทางต่อไปของราคาจะขึ้นอยู่กับว่าราคาจะ Breakout ไปในทิศทางไหน ระหว่างแนวรับที่ 23.45 เหรียญ/บาร์เรล และแนวต้านที่ 25.40 เหรียญ/บาร์เรล โดยจะมีเป็นแนวรับถัดไปอยู่ที่ระดับ 20.50 เหรียญ/บาร์เรลหรือเส้นค่าเฉลี่ย 200-bar SMA ขณะที่แนวต้านถัดไปจะอยู่แถวระดับ 27.80 เหรียญ/บาร์เรล ซึ่งเป็นเส้นเทรนขาขึ้นตั้งแต่วันที่ พ.ค.


บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com