• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคค่ำ) ประจำวันที่ 11 พฤษภาคม 2563

    11 พฤษภาคม 2563 | Economic News

·         ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินเยน ท่ามกลางรายงานข่าวเกี่ยวกับแนวโน้มที่สหรัฐฯและอีกหลายๆประเทศกำลังพิจารณาหรือเริ่มผ่อนคลายมาตรการ Lockdown เผื่อเศรษฐกิจสามารถกลับมาทำการได้อีกครั้ง ทำให้เกิดความหวังว่าเศรษฐกิจโลกจะสามารถฟื้นตัวขึ้นมาจากภาวะถดถอยที่มีสาเหตุมาจากวิกฤตไวรัสได้เร็วกว่าที่คาด

โดยค่าเงินดอลลาร์แข็งค่า 0.28% เมื่อเทียบกับเงินเยนแถว 106.95 เยน/ดอลลาร์ และทรงตัวเมื่อเทียบกับเงินยูโรแถว 1.0843 ดอลลาร์/ยูโร

 

ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียที่มักถูกใช้เป็นมาตรวัดความต้องการสินทรัพย์เนื่องจากเป็นค่าเงินมีความเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจจีนค่อนข้างมาก  แข็งค่าขึ้นมาหลังจากที่อ่อนค่าลงในช่วงก่อนหน้า ขึ้นมาแถว 0.6546 ดอลลาร์

 

รายงานข่าวที่ว่ารัฐแคลิฟอเนียร์ มิชิแกน และโอไฮโอ ทั้ง 3 รัฐที่มีบทบาทสำคัญต่อภาพรวมอุตสาหกรรมสหรัฐฯ กำลังเริ่มดำเนินการผ่อนคลายมาตรการเพื่อให้โรงงานและบางธุรกิจสามารถกลับมาดำเนินงานได้ เป็นอีกปัจจัยที่ช่วยหนุนความเชื่อมั่นของตลาดในวันนี้

 

ขณะที่ค่าเงินปอนด์ค่อนข้างทรงตัวเมื่อเทียบกับดอลลาร์แถว 1.2419 ดอลลาร์ หลังนายกรัฐมนตรีอังกฤษ เผยแผนผ่อนคลายมาตรการ Lockdown แบบค่อยเป็นค่อยไป

 

·         EUR/USD Forecast: ยูโรเผชิญแรงกดดันในกรอบ

บทวิเคราะห์ทางเทคนิคจาก FX Street ระบุว่าค่าเงินยูโรเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ เคลื่อนไหวในลักษณะ Sideway down หลังจากที่ค่าเงินขึ้นทดสอบไม่ผ่านเส้นค่าเฉลี่ย 20 DMA ขณะที่เส้นค่าเฉลี่ยระยะยาวยังคงเคลื่อนไหวในทิศทางขาลงเหนือเส้นค่าเฉลี่ยระยะสั้น ฝั่ง Indicators ยังขาดสัญญาณที่ชัดเจน แต่เคลื่อนไหวในแดนลบ ส่วนภาพรวมระยะสั้นและระยะ 4 ช.ม. มีลักษณะค่อนข้างใกล้เคียงกัน โดยเป็นการเคลื่อนไหวแบบไร้ทิศทางที่ชัดเจน และมีแนวโน้มเคลื่อนตัวออกด้านข้าง

 

แนวรับ:  1.0790 1.0755 1.0710

แนวต้าน: 1.0865 1.0900 1.0940

 

 

สถานการณ์ไวรัสโคโรนา:

Ø  จำนวนผู้ติดเชื้อทั่วโลกล่าสุดอยู่ที่ 4,181,307 ราย

Ø  จำนวนผู้เสียชีวิตทั่วโลกล่าสุดอยู่ที่ 283,880 ราย

Ø  จำนวนประเทศติดเชื้อทั่วโลกล่าสุดอยู่ที่ 212 ประเทศ

Ø  จำนวนผู้ติดเชื้อในสหรัฐฯล่าสุดมีผู้ติดเชื้ออยู่ที่ 1,367,638 ราย และมีผู้เสียชีวิตที่ระดับ 80,787 ราย

Ø  จำนวนผู้ติดเชื้อในไทยล่าสุดรวมผู้ติดเชื้อสะสมอยู่ที่ 3,015 ราย (+6) และมีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นรวมสะสม 56 ราย


·         Wall Street Journal ชี้ เฟดจะไม่พิจารณาใช้อัตราดอกเบี้ยติดลบ

บทความจาก Wall Street Journal ระบุว่ามีความเป็นไปได้เพียงเล็กน้อยที่เฟดจะพิจารณาใช้อัตราดอกเบี้ยในระดับติดลบ เนื่องจากการใช้นโยบายดังกล่าวจะทำให้ต้นทุนของภาคธนาคารพุ่งสูงขึ้น แต่ให้ผลลัพธ์ที่ไม่แน่อนไม่นอน ประกอบกับการที่บรรดานักการเมืองในสหรัฐฯน่าจะไม่ให้การสนับสนุนนโยบายดังกล่าวด้วยเช่นกัน

·         รัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจแห่งญี่ปุ่นเปิดเผยว่า รัฐบาลจะพิจารณาผ่อนคลายมาตรการ Lockdown เฉพาะในจังหวัดที่มีการระบาดของไวรัสในระดับเบาบาง หากสามารถควบคุมอัตราการติดเชื้อให้ทรงตัวได้ภายในสัปดาห์นี้

·         ธนาคารกลางจีนเผยว่าได้มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธุรกรรมให้กู้ยืมสภาพคล่อง ณ สิ้นวัน หรือ (Standing Lending Facility) เมื่อวันที่ 10 เม.ย. ลง 0.30% สำหรับการกู้ยืมระยะ 1 วัน, 7 วัน และ 1 เดือน สู่ระดับ 3.05%, 3.2%, และ 3.55% ตามลำดับ

โดยการปรับลดอัตราดอกเบี้ย SLF เป็นหนึ่งในนโยบายกระตุ้นสภาพคล่องให้กับตลาด ซึ่งทางธนาคารกลางจีนก็มีการปรับลดดอกเบี้ยสำหรับการกู้ยืมแบบอื่นๆตลอดช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เพื่อช่วยบรรเทาเศรษฐกิจจากวิกฤตไวรัสโคโรนาเช่นกัน

·         เกาหลีใต้รายงานยอดผู้ติดเชื้อรายใหม่วันนี้ออกมาที่ 35 ราย ซึ่งเป็นจำนวนที่เพิ่มสูงขึ้นนับตั้งแต่ที่รัฐบาลประกาศผ่อนคลายมาตรการ Lockdown ลง เนื่องจากในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมามีจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ออกมาเป็น 0

อย่างไรก็ตาม ทางรัฐบาลเกาหลีใต้ได้ระบุว่า จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหญ่ที่ประกาศออกมาวันนี้มีความเกี่ยวข้องกับไนต์คลับ จึงได้สั่งปิดสถานบันเทิงในกรุงโซล พร้อมออกประกาศเตือนให้ระวังการระบาดรอบที่สอง

·         จีนพยายามแฮคข้อมูลการพัฒนาวัคซีนจากสหรัฐฯ - NY Times

รายงานจาก NY Times ระบุว่าหน่วยงาน F.B.I และกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิสหรัฐฯ กำลังเตรียมออกประกาศเตือนเกี่ยวกับการโจมตีทางไซเบอร์ที่เป็นฝีมือของแฮคเกอร์ชาวจีน ที่กำลังพยายามเจาะระบบของสถาบันวิจัยเพื่อชิงข้อมูลเกี่ยวกับการพัฒนาวัคซีนไวรัสโคโรนาของสหรัฐฯ ซึ่งประกาศเตือนดังกล่าวน่าจะออกมาอย่างเป็นทางการในอีกกี่วันข้างหน้านี้

·         บรรดานักวิเคราะห์คาดว่า จีนอาจต้องอนุมัติให้หลายประเทศผ่อนผันการชำระหนี้ เนื่องจากประเทศที่กู้เงินจากจีนกำลังประสบปัญหาเศรษฐกิจย่ำแย่จากไวรัสโคโรนา โดยการกู้เงินดังกล่าวมีจุดประสงค์สำหรับแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน หรือที่รู้จักกันในนาม Belt and Road Initiative (BRI) ด้วยจำนวนเงินมหาศาล จึงเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ว่าทำให้หลายประเทศต้องติดหนี้


·         CSIS เตือน จีนไม่สามารถเข้าซื้อสินค้าจากสหรัฐฯได้ตามข้อตกลงเฟสแรก เนื่องจากวิกฤตไวรัส

ศูนย์ศึกษายุทธศาสตร์และนานาชาติแห่งสหรัฐฯ หรือ CSIS เผยรายงานฉบับล่าสุดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา โดยในรายงานได้ระบุว่า จีนจะไม่สามารถดำเนินการเข้าซื้อสินค้าจากสหรัฐฯได้ตามที่ตกลงกันไว้ในข้อตกลงเฟสแรก ที่ร่วมกันลงนามเมื่อเดือน ม.ค. ที่ผ่านมา เนื่องจากผลกระทบของวิกฤตไวรัสโคโรนา

 

โดยทาง CSIS คาดการณ์ว่ายอดส่งออกจากสหรัฐฯสู่ประเทศจีนสำหรับปี 2020 จะอยู่ที่ราวๆ 6 หมื่นล้านเหรียญ ต่ำกว่าที่ตกลงขั้นต่ำกันไว้ที่ 1.866 แสนล้านเหรียญอย่างมาก

 

อย่างไรก็ตาม ทาง CSIS ได้ยอมรับสมมติฐานดังกล่าวคือ กรณีที่เลวร้ายที่สุด” เนื่องจากมีความเป็นไปได้ที่การเข้าซื้อสินค้าจากจีนจะเริ่มฟื้นตัวมากขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีตามการกลับมาเปิดเศรษฐกิจ แต่ถึงแม้จะฟื้นตัวขึ้นได้จริง ก็ไม่สามารถฟื้นตัวได้ถึงมูลค่าขั้นต่ำที่ตกลงกันไว้ได้แต่อย่างใด

 

นอกจากนี้ CSIS ยังได้คาดการณ์ถึงการตอบโต้ของทีมบริหารประธานาธิบดีสหรัฐฯ ว่าจะดำเนินการเช่นไรหากประเมินแล้วว่า จีนจะไม่สามารถดำเนินการตามข้อตกลงได้ ไว้ 3 กรณี คือ

 

1. ดำเนินการเจรจาปรับปรุงข้อตกลงกันอย่างละเอียดอีกครั้ง

 

2. ประกาศขึ้นภาษีจีนเป็นบทลงโทษ หรือยกเลิกข้อตกลงโดยสิ้นเชิง

 

3. ยอมรับว่าวิกฤตไวรัสโคโรนากำลังกดดันความสามารถในการเข้าซื้อของจีน และเชื่อมั่นว่าจีนจะกลับมาเข้าซื้อมากขึ้นได้อีกครั้ง เมื่อเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว

 

CSIS ระบุว่าทั้ง 3 กรณีมีทั้งข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันออกไป โดย 2 กรณีแรกอาจทำให้เกิดกระแสต่อต้านจากจีนได้ ส่วนกรณีที่ 3 แม้จะดูเป็นทางเลือกที่เหมาะสม แต่ความจริงแล้วจะเป็นความเสี่ยงทางการเมืองให้กับนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เสียเอง

 

CSIS ยังได้ระบุว่าความจริงแล้วยังมีกรณีที่ ซึ่งทีมบริหารคงไม่เลือกเดินทางนี้แน่ๆ ซึ่งก็คือการยอมรับว่า ข้อกำหนดเกี่ยวกับมูลค่าการเข้าซื้อสินค้าสหรัฐฯจากจีนเป็นความผิดพลาด และกลับมาพิจารณาการดำเนินนโยบายกับจีนใหม่ทั้งหมด


·         รายงานจากฮ่องกงระบุว่า ตำรวจฮ่องกงได้มีการจับกุมกลุ่มผู้ชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยได้มากกว่า 200 คนเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา หลังจากที่การชุมนุมที่เริ่มต้นขึ้นในพื้นที่ของห้างสรรพสินค้าได้ขยายความรุนแรงและกระจายออกไปตามถนนหนทางของเมืองฮ่องกง

ตำรวจปราบจราจลหลายร้อยนายถูกส่งเข้าพื้นที่เพื่อควบคุมสถานการณ์เมื่อวันอาทิตย์ โดยความรุนแรงและความวุ่นวายของการชุมนุมครั้งนี้ทำให้หลายสำนักข่าวในฮ่องกงต่างรายงานว่านี่อาจเป็นการกลับมาของเหตุการณ์ชุมนุมประท้วงที่สร้างความปั่นป่วนให้กับเศรษฐกิจฮ่องกงเมื่อปีก่อนอีกครั้ง


·         นิวซีแลนด์จะอนุญาตให้ห้างสรรพสินค้า โรงภาพยนตร์ คาเฟ่ และโรงยิม สามารถกลับมาเปิดทำการได้อีกครั้งภายในวันพฤหัสบดีนี้ หลังจากรัฐบาลเริ่มผ่อนคลายมาตรการลง


·         CNN ชี้ ชาวจีนตกงาน 80 ล้านคน แต่ 9 ล้านคนอาจกลับเข้าทำงานได้เร็วๆนี้

ข้อมูลล่าสุดจากทางจีน เผยว่า มีจำนวนผู้คนว่างงานจำนวนมากกว่า 290 ล้านรายที่ทำงานในกลุ่มก่อสร้างภาคการผลิต และกลุ่มคนรายได้น้อยที่ยังคงว่างงาน และมีคนตกงานแล้วมากถึง 80 ล้านคนในช่วงสิ้นเดือนมี.ค. ดังนั้น นักเศรฐศาสตร์จาก Chinese Academy of Social Sciences มองว่า ผลดังกล่าวจะเป็นตัวเร่งการดำเนินการของภาครัฐบาล

 

ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญท่านอื่นๆ คิดว่า ตัวเลข 80 ล้านคนนั้นค่อนข้างใกล้ความเป็นจริงอย่างมาก และดูเหมือนการระบาดของไวรัส COVID-19 จะเป็นตัวสร้างความผันผวนให้แก่ตลาดแรงงาน ท่ามกลางเศรษฐกิจจีนที่อ่อนแอที่สุดในรอบกว่าทศวรรษ และทำให้ภาวะเศรษฐกิจหดตัวเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1976 ตั้งแต่ที่ผู้นำคอมมิวนิสต์อย่าง นายเหมา เจ๋อตุง เสียชีวิต

 

อย่างไรก็ดี ทางการจีนยังคาดว่าประชาชนประมาณ 8.7 ล้านคนจะค่อยๆทยอยกลับเข้าทำงานและเข้าสถานศึกษาได้ในปีนี้



·         ราคาน้ำมันปรับลดลงจากภาวะอุปทานน้ำมันล้นตลาดที่ยังคงยืดเยื้อและภาพรวมเศรษฐกิจที่หม่นหมองท่ามกลางวิกฤตไวรัสโคโรนา แม้จะแรงหนุนบางส่วนมาจากมาตรการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันจากบรรดาประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ก็ตาม

โดยราคาสัญญาน้ำมันดิบ Brent ปรับลดลง 0.29 เหรียญ หรือ 0.9% แถว 30.68 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ราคาสัญญาน้ำมันดิบ WTI ปรับลดลง 0.17 เหรียญ หรือ 0.7% แถว 24.57 เหรียญ/บาร์เรล


 

·         Oil Price Forecast: น้ำมันย่อต่ำกว่า 24.00 เหรียญ/บาร์เรล ภาพรวมระยะสั้นยังอยู่ในกรอบสามเหลี่ยม

บทวิเคราะห์จาก FX Street ระบุว่าราคาสัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน มิ.ย. ได้ย่อตัวลงมาประมาณ 3.30% แถว 23.92 เหรียญ/บาร์เรล หลังขึ้นทดสอบเส้นแนวต้านของเทรนขาขึ้นไม่ผ่าน

 

ซึ่งราคากำลังย่อตัวลงและมีโอกาสลงทดสอบแนวรับที่ 23.82 เหรียญ/บาร์เรล ซึ่งเป็นเส้นค่าเฉลี่ยราย 100 ช.ม. หากหลุดแนวรับนี้ลงมาก็จะมีแนวรับถัดไปที่ 23.20 เหรียญ/บาร์เรล

 

หากราคายังย่อลงต่อและหลุดแนวรับดังกล่าวลงมา ราคาจะมีแนวโน้มย่อตัวลงลึกไปถึงบริเวณ 20.30 - 20.50 เหรียญ/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับสูงสุดของต้นเดือน พ.ค. และเส้นค่าเฉลี่ยราย 200 ช.ม.

 

อีกด้านหนึ่ง ราคาจะมีแนวต้านอยู่ที่บริเวณ 24.65 – 24.70 เหรียญ/บาร์เรล หากสามารถผ่านแนวต้านนี้มาได้จะมีเป้าหมายถัดไปขยับขึ้นมาแถว 26.00  และ 26.70 เหรียญ/บาร์เรล ตามลำดับ



บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com