• สรุปข่าวตลาดหุ้น (ภาคค่ำ) ประจำวันที่ 5 พฤษภาคม 2563

    5 พฤษภาคม 2563 | SET News
  
· ดัชนีฟิวเจอร์สหุ้นสหรัฐฯปรับตัวสูงขึ้นในวันนี้ ท่ามกลางนักลงทุนที่มีความหวังดีขึ้นกับแนวโน้มกลับมาเปิดเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์สปรับสูงขึ้นได้ประมาณ 240 จุด บ่งชี้ว่าดัชนีดาวโจนส์คืนนี้มีแนวโน้มเปิดบวกได้ประมาณ 173 จุด ขณะที่ดัชนีฟิวเจอร์ S&P 500 และ Nasdaq ต่างก็เคลื่อนไหวในแดนบวกเช่นกั

· ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวสูงขึ้น ตามการเพิ่มขึ้นของตลาดหุ้นสหรัฐฯ เนื่องจากรัฐบาลผ่อนคลายมาตรการ Lockdown จากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา ขณะที่ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นท่ามกลางความหวังจากความต้องการเชื้อเพลิงจะเริ่มดีขึ้น

ท่ามกลางปริมาณการซื้อขายที่เบาบาง โดยตลาดจีน ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ปิดทำการเนื่องในวันหยุด ขณะที่ดัชนี MSCI ที่ไม่รวมตลาดหุ้นญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น 0.84%

ด้านดัชนี ASX 200 ออสเตรเลีย เพิ่มขึ้น 1.42% รวมทั้งดัชนี Hang Seng เพิ่มขึ้น 0.84%

นักวิเคราะห์จาก CMC markets ระบุว่าการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นในวันนี้ ไม่มีความสำคัญใดๆมากนัก เนื่องจากตลาดหลักยังคงปิดทำการ ขณะที่ตลาดหุ้นออสเตรเลียก็มีปริมาณซื้อขายที่ลดลงถึง 10% จึงไม่ควรใส่ใจการเคลื่อนไหวของตลาดในวันนี้มากนัก

· ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากเหล่านักลงทุนกลับเข้าซื้อหุ้น ตามข่าวเกี่ยวกับการเปิดเศรษฐกิจในยุโรปและประเทศอื่นๆ

โดยดัชนี Stoxx600 เพิ่มขึ้น 1.7% ด้านน้ำมันและก๊าซพุ่งขึ้น 4.5% ท่ามกลางตลาดภูมิภาคส่วนใหญ่ที่เคลื่อนไหวในแดนบวก

อ้างอิงจากสำนักข่าวกรุงเทพธุรกิจ

-ศบค. แถลงพบผู้ติดเชื้อ "โควิด-19" รายใหม่เพิ่ม 1 ราย รวมยอดสะสม 2,988 ราย ไม่พบเสียชีวิตเพิ่ม ยอดผู้เสียชีวิตสะสม 54 ราย รักษาหายเพิ่ม 7 ราย รวมรักษาหายเเล้ว 2,747 ราย

เมื่อวันที่ 5 พ.ค.63 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (ศบค.) แถลงสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ประจำวัน ว่า ประเทศไทยพบจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 1 ราย รวมยอดสะสม 2,988 ราย ใน 68 จังหวัด ไม่พบเสียชีวิตเพิ่ม ยอดผู้เสียชีวิตสะสม 54 ราย รักษาหายเพิ่ม 7 ราย รวมรักษาหายเเล้ว 2,747 ราย คิดเป็น 91.93%

- พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงภาวะเศรษฐกิจว่า คาดสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจของไทย คงจะได้รับผลกระทบจากวิกฤติโควิด-19 ไปอีกนานพอสมควร คงไม่ใช่แค่ 3 เดือน อาจถึง 6 เดือน 9 เดือน ซึ่งต้องเตรียมมาตรการไว้รองรับในโอกาสต่อไปด้วย

"ผมได้เน้นย้ำในสิ่งที่เราค่อนข้างจะชินแล้ว คือการใช้ new normal วิถีชีวิตปกติแบบใหม่ คือให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพ วิถีชีวิตทุกคนต้องเปลี่ยนแปลงไปหลังสถานการณ์โควิด-19 ได้ลดระดับความรุนแรงลง ฉะนั้นต้องมีการวางแผนอนาคตไว้ด้วย ผมได้ใช้เวลาเสาร์-อาทิตย์ หรือวันหยุดราชการไปตรวจเยี่ยมพูดคุยกับเขา พบปะฟังปัญหาโดยตรง ทั้งนี้ เพื่อนำมาขับเคลื่อนใน ครม. เพื่อที่จะไปดูแลเขาให้มากยิ่งขึ้น ตรงนี้ต้องขอเวลาเพราะหลายอย่างต้องใช้งบประมาณ และหลายอย่างติดข้อกฎหมายหลายตัว ต้องให้เวลาผมในการแก้ปัญหา ผมจะเดินหน้าไปพบปะเรื่อยๆ" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

อ้างอิงจากสำนักข่าวอินโฟเควสท์

- ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) กล่าวว่า แม้สถานการณ์การส่งออกของประเทศไทยในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้จะออกมาดีกว่าคาดการณ์ไว้ แต่ สรท.ยังต้องจับตาดูสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยยังคงคาดการณ์การส่งออกไทยในปี 2563 ว่าอาจหดตัว -8% บนสมมติฐานค่าเงิน 30.50 บาท/ดอลลาร์ (บวก/ลบ 0.50 บาท/ดอลลาร์) โดยคาดว่าการส่งออกของไทยจะกลับมาฟื้นตัวในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะหดตัวในไตรมาส 1 และน่าจะเห็นการหดตัวมากขึ้นในไตรมาส 2 ส่วนระยะถัดไปต้องติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาด ทิศทางของนักท่องเที่ยวต่างชาติและเศรษฐกิจโลกรวมถึงผลของมาตรการการเงินการคลัง อนึ่ง เราคาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงสู่ระดับ 0.50% ในเดือนนี้ ควบคู่ไปกับมาตรการเยียวยาเฉพาะจุดมากขึ้น

- ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) มีมุมมองต่อทิศทางค่าเงินบาทในสัปดาห์นี้ว่า มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 32.25-32.65 ต่อดอลลาร์เทียบกับระดับปิดแข็งค่าที่ 32.34 ต่อดอลลาร์เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิในตลาดหุ้นและพันธบัตรไทยมูลค่า 3.1 พันล้านบาท และ 7.9 พันล้านบาท ตามลำดับ ส่วนในเดือนเมษายน เงินบาทแข็งค่า 1.6% และยอดขายสุทธิของนักลงทุนต่างประเทศในตลาดหุ้นและพันธบัตรไทยลดลงจากเดือนมีนาคม มาอยู่ที่ 4.69 หมื่นล้านบาท และ 1.89 หมื่นล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลช่วงอายุ 3-5 ปี ปรับตัวลดลงราว 17 bps

- พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า วันนี้ยังไม่ได้นำแผนการฟื้นฟูบมจ. การบินไทย (THAI) เข้าครม. พร้อมย้ำว่าทุกฝ่ายต้องให้ความร่วมมือในการปรับโครงสร้าง ทั้งองค์กร บุคลากร กรรมการ ผู้บริหาร สหภาพฯ

อ้างอิงจากสำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย

- "ปูนซีเมนต์ไทย" คาดปีนี้นี้ยอดขายหดตัวมากกว่า 6% หลังยอดขาย-ส่วนต่างราคาปิโตรเคมีลดลง จ่อหั่นงบลงทุนปีนี้อีกรอบจากระดับ 5.5-6.5 หมื่นล้านบาท หากการแพร่ระบาดโควิด-19 ยืดเยื้อ แต่ยังไม่ปิดโอกาสซื้อกิจการที่เกี่ยวเนื่อง มั่นใจฐานะการเงินแข็งแกร่ง รับมือสถานการณ์ได้ 6 เดือน - 1 ปี ล่าสุดแจ้งงบ Q1/63 มีกำไร 6.97 พันลบ. ลดลง 40% จากช่วงเดียวกันปีก่อน

คาดยอดขายปีนี้หดตัวมากว่า 6%

นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC เปิดเผยว่า บริษัทคาดยอดขายปี 63 มีโอกาสจะปรับลดลงมากกว่า 6% เมื่อเทียบกับปี 62 เพราะธุรกิจปิโตรเคมียอดขายลดลง และราคาขายก็ลดลงตามไปด้วย ซึ่งจะเห็นได้ว่าผลประกอบการในไตรมาส 1/63 รายได้ลดลง 6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ถึงแม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัส Covid-19 แค่เพียงเดือนมี.ค.เดือนเดียว ซึ่งจากนี้ยังไม่สามารถระบุได้ว่าสถานการณ์การระบาดจะยืดเยื้อออกไปนานแค่ไหน

จ่อลดเงินลงทุนปีนี้จาก 5.5-6.5 หมื่นลบ.

นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่-การเงินและการลงทุน SCC เปิดเผยว่า มีความเป็นไปได้ที่บริษัทจะปรับลดวงเงินลงทุนในปี 63 เพิ่มเติมอีกครั้ง หากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส โควิด-19 ยังคงยืดเยื้อต่อเนื่อง หลังจากที่ล่าสุดคณะกรรมการได้ปรับลดเงินลงทุนมาแล้วเหลือ 55,000-65,000ล้านบาท ซึ่งเป็นการปรับลดจากเดิมที่วางไว้ก่อนสถานการณ์โควิดจะมีการระบาดรุนแรงที่วงเงิน 60,000-70,000 ล้านบาท

บริษัทยังไม่ปิดโอกาสในการซื้อธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจหลัก ถึงแม้ว่าจะปรับลดวงเงินทุนเบื้องต้นแล้ว หากเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาว ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีกระแสเงินสดในมือที่แข็งแกร่ง สามารถรองรับการดำเนินธุรกิจได้ต่อเนื่องยาวนาน 6 เดือนถึง 1 ปี ส่วนในโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ที่ประเทศเวียดนามยังคงเดินหน้าพัฒนาโครงการอย่างต่อเนื่อง ขณะนี้คืบหน้าไปแล้วกว่า 34%

ยังไม่ลดกำลังผลิต แต่ลดสต็อก

นายรุ่งโรจน์กล่าวว่า บริษัทไม่มีแผนที่จะลดกำลังการผลิตในแต่ละกลุ่มธุรกิจ เนื่องจากบริษัทได้พยายามมองหาตลาดใหม่ๆ ประกอบกับการปรับปรุงสินค้าไปยังกลุ่มอุตสาหกรรมที่ยังมีความต้องการสินค้า โดยเฉพาะในธุรกิจเคมิคอล ขณะที่ธุรกิจแพ็คเกจจิ้งปัจจุบันถือว่ายังมีความต้องการใช้แพ็คเกจจิ้งอย่างต่อเนื่อง จากธุรกิจจัดส่งอาหารออนไลน์ รวมถึงแพ็คเกจจิ้งการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์

บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com