• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 5 พฤษภาคม 2563

    5 พฤษภาคม 2563 | Economic News


·         สถานการณ์ไวรัสโคโรนา:

 

Ø  จำนวนผู้ติดเชื้อทั่วโลกล่าสุดอยู่ที่ 3,644,795

Ø  จำนวนผู้เสียชีวิตทั่วโลกล่าสุดอยู่ที่ 252,364 ราย

Ø  จำนวนประเทศติดเชื้อทั่วโลกล่าสุดอยู่ที่ 212 ประเทศ

Ø  จำนวนผู้ติดเชื้อในสหรัฐฯล่าสุดมีผู้ติดเชื้ออยู่ที่ 1,212,835 ราย และมีผู้เสียชีวิตที่ระดับ 69,921 ราย

Ø  จำนวนผู้ติดเชื้อในไทยล่าสุดรวมผู้ติดเชื้อสะสมอยู่ที่ 2,987 ราย และมีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นรวมสะสม 54 ราย




·         สถาบันด้านสุขภาพ IHME คาดการณ์ว่า จะมีผู้เสียชีวิตจากการติดเชื้อไวรัสโคโรนาในสหรัฐฯเพิ่มขึ้นตลอดจนเดือนส.ค. สู่ระดับราวๆ 135,000 รายท่ามกลางการคลายมาตรการ Lockdown ที่ดูจะเป็นตัวเพิ่มจำนวนผู้ติดเชื้อรอบใหม่

ทั้งนี้ ภาพรวมจนถึงต้นเดือนส.ค. คาดจะมีผู้เสียชีวิตราว 134,475 ราว ซึ่งเป็นกรอบกลางระหว่าง 95,092 และ 242,890 ราย


·         หัวหน้านักกลยุทธ์ฝ่ายอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศจาก HSBC ประเมินว่าเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มจะฟื้นตัวเป็นลักษณะ U-Shaped หลังจากพ้นวิกฤตไวรัสโคโรนา และภาพรวมจะได้รับอานิสงส์จากค่าเงินในประเทศต่างๆที่ปรับแข็งค่าขึ้น แต่ภาพรวมการวิเคราะห์ก็ต้องขึ้นอยู่กับเหตุการณ์ทั้งหมดด้วย

อย่างไรก็ดี ในการฟื้นตัวแบบ U-Shaped จะเห็นได้ว่า เศรษฐกิจดูจะล้มเหลวในการตอบรับการก้าวออกจากภาวะ Lockdown ทั่วโลก แต่ก็ไม่มีแนวโน้มว่าสถานการณ์การระบาดในเวลานี้จะเลวร้ายเหมือนในเดือนที่ผ่านมา ที่ทำให้ราคาน้ำมันดิ่งลงสู่ระดับติดลบ 40 เหรียญ/บาร์เรล และคนว่างงานพุ่งสูงหลักล้าน แต่หากประเมินการฟื้นตัวแบบ V-Shaped ต้องเป็นการฟื้นตัวในลักษณะคล้ายกับช่วงหลังเกิดวิกฤตทางการเงินที่ค่อนข้างตอบรับอานิสงส์เชิงบวก


·         มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯในช่วงวิกฤตไวรัสโคโรนาดูจะเป็นสาเหตุที่ทำให้กระทรวงการคลังมีการกู้ยืมสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในไตรมาสแรกของปีนี้ที่ระดับ 3 ล้านล้านเหรียญ โดยข้อมูลล่าสุดแสดงให้เห็นว่า ณ ปัจจุบันมีการกู้ยืมแล้วที่ 2.999 ล้านล้านเหรียญ

ทั้งนี้ การเพิ่มขึ้นของการกู้ยืมที่เกิดขึ้นก็ดูจะได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโคโรนาเป็นหลัก ที่ทำให้เกิดค่าใช้จ่ายจากกฎหมายฉบับใหม่ที่เข้ามาเพื่อช่วยเหลือบุคคล และภาคธุรกิจ รวมถึงการปรับเปลี่ยนอัตราภาษี เช่นการยืดเวลาการจ่ายภาษีบุคคลและภาคธุรกิจจากเดือนเม.ย. - มิ.ย. ออกไปจนถึง ก.ค.

นอกจากนี้ กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ยังคาดการณ์ว่า ในไตรมาสที่ 3/2020 จะมีการกู้เพิ่มเติมอีก 6.77 แสนล้านเหรียญ


·         หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จาก Grant Thornton กล่าวว่า บรรดานักเศรษฐศาสตร์กำลังมองหาแนวทางใหม่ๆของมาตรการต่างๆเพื่อให้เศรษฐกิจเกิดการรีบาวน์หลังจากที่ก้าวสู่ภาวะถดถอย และระบุว่า การฟื้นตัวจะขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ โดยเฉพาะภาพรวมที่ต้องขึ้นอยู่กับความเชื่อมั่นของกลุ่มผู้บริโภค ขณะที่ภาครัฐดูจะประสบความสำเร็จอย่างเพียงพอในการลดช่องวางของรายได้ให้แก่คนว่างงานในเวลานี้

ทั้งนี้ เศรษฐกิจจะฟื้นตัวได้ต้องอาศัยกลุ่มผู้บริโภคเป็นสำคัญไม่ใช่เพียงแต่การผลักดันรายได้ แต่รวมถึงความกลัวของพวกเขาด้วย โดยจะเห็นได้จากการที่เมืองอู่ฮั่นของจีนเปิดทำการ แต่ประชาชนส่วนใหญ่ก็ยังมีความกังวลเกี่ยวกับการไปในที่สาธารณะหรือห้างสรรพสินค้าอยู่


·         วุฒิสภาสหรัฐฯกลับมาเปิดทำการเป็นครั้งแรกหลังจาที่ปิดไปประมาณเกือบ 6 สัปดาห์ แม้ว่าจะมีความกังวลต่อสถานการณ์ที่ว่าเจ้าหน้าที่อาจเผชิญความเสี่ยงจากการติดเชื้อไวรัสโคโรนาได้


·         ดัชนีดอลลาร์ทรงตัวที่ 99.498 จุด หลังจากช่วงต้นตลาดปรับขึ้นเหนือ 99.5 จุด  ในส่วนของค่าเงินเยนแข็งค่าลงมาแนว 106.63 เยน/ดอลลาร์ หลังไปที่ 107 เยน/ดอลลาร์วานนี้


·         ประธานคณะกรรมการพิจารณาวิธีจัดหารายได้ของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ กล่าวว่า รัฐบาลสหรัฐฯควรพิจารณาการปรับลดภาษีการผลิตทั้งหมดออกไปเป็นเวลา 90 วันเพื่อรับมือกับการระบาดของไวรัสโคโรนาและเพื่อฟื้นอุปสงค์การผลิตในประเทศ โดยเฉพาะอุปกรณ์ทางการแพทย์และยา

เจ้าหน้าที่ภาคธุรกิจระดับสูงของสหรัฐฯ เรียกร้องให้อังกฤษทำการหาข้อสรุปในส่วนของข้อตกลงการค้ากับทางอียูให้ได้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เพื่อลดความไม่แน่นอนและการจำกัดการลงทุนที่อาจสร้างความเสี่ยงให้แก่การค้าของสหรัฐฯ

ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ให้คำแนะนำก่อนที่สหรัฐฯและอังกฤษจะเข้าพบกันในวันนี้ว่า ภาคบริษัทสหรัฐฯมีการลงทุนกว่า 7.5 แสนล้านเหรียญในประเทศอังกฤษ ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนการลงทุนมหาศาลที่สามารถเข้าสู่ตลาดเดี่ยวของอียูได้ก่อนที่อังกฤษจะโหวตออกจากอียู


·         ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นเนื่องจากหลายประเทศประกาศผ่อนคลายมาตรการ Lockdown และอุปทานน้ำมันดิบลดลง แม้ว่าความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯและจีนจะจำกัดการขึ้นราคาของน้ำมัน

อุปสงค์น้ำมันทั่วโลกถูกคาดว่าจะร่วงลง 30% ในเดือนที่แล้วเนื่องจากมาตรการการกักตัวอยู่ที่บ้าน ขณะที่การอุปโภคที่อ่อนแอก็น่าจะเป็นแบนี้ไปอีกหลายเดือน ถึงแม้ว่าประเทศและบริษัทที่ผลิตน้ำมันหลักๆของโลกจะลดการผลิตลงอย่างรวดเร็วแล้ว อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญแสดงความเห็นว่า การกระทำดังกล่าวจะช่วยลดปริมาณน้ำมันที่ล้นตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

น้ำมันดิบ Brent ปรับราคาขึ้น 28 เซนต์หรือ +1.1% ที่ 26.72 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI สูงขึ้น 61 เซนต์หรือ +3.08% ปิดที่ 20.39 เหรียญ/บาร์เรล

Goldman Sachs คาดว่า ราคาน้ำมันจะปรับตัวสูงขึ้นในปีหน้าเนื่องจากการผลิตน้ำมันดิบลดลงและอุปสงค์น้ำมันจะค่อยๆฟื้นตัวขึ้น โดยปรับการคาดการณ์ในปีหน้าว่า สัญญาน้ำมันดิบ Brent จะมีราคา 55.63 เหรียญ/บาร์เรล จากเดิมที่คาดว่าจะอยู่ที่ 52.50 เหรียญบาร์เรล สำหรับสัญญาน้ำมันดิบ WTI ถูกคาดการณ์ใหม่ว่าจะมีราคา 51.38 เหรียญ/บาร์เรลซึ่งเปลี่ยนจากเดิมที่ 48.50 เหรียญ/บาร์เรล

ขณะที่ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนทำให้ราคาน้ำมันขึ้นได้อย่างจำกัด หลังการข่มขู่ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯที่ว่าจะเพิ่มการเก็บภาษีจากจีน นอกจากนี้ นายไมค์ ปอมเปโอ รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศของสหรัฐฯ กล่าวว่า มีหลักฐานที่แสดงให้เห็นถึงต้นกำเนิดไวรัสที่มาจากห้องแล็บในจีน

ราคาน้ำมันฟื้นตัวได้บางส่วนหลัง นายสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีกระทรวงการคลังสหรัฐฯ หวังให้จีนทำข้อสัญญาทางการค้ากับสหรัฐฯ แล้วยังคาดว่า ตลาดน้ำมันจะฟื้นตัวขึ้นและฝ่ายบริหารของทรัมป์กำลังมองหาคลังเก็บน้ำมันเพิ่ม



บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com