• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคค่ำ) ประจำวันที่ 30 เมษายน 2563

    30 เมษายน 2563 | Economic News

สถานการณ์ไวรัสโคโรนา:

Ø  จำนวนผู้ติดเชื้อทั่วโลกล่าสุดอยู่ที่ 3,222,315 ราย

Ø  จำนวนผู้เสียชีวิตทั่วโลกล่าสุดอยู่ที่ 228,269 ราย

Ø  จำนวนประเทศติดเชื้อทั่วโลกล่าสุดอยู่ที่ 210 ประเทศ

Ø  จำนวนผู้ติดเชื้อในสหรัฐฯล่าสุดมีผู้ติดเชื้ออยู่ที่ 1,064,572 ราย (+378) และมีผู้เสียชีวิตที่ระดับ 61,669 ราย (+13)

Ø  จำนวนผู้ติดเชื้อในไทยล่าสุดรวมผู้ติดเชื้อสะสมอยู่ที่ 2,954 (+7) ราย และมีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นรวมสะสม 54 ราย


·       ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงหลังจากที่การประชุมเฟดเมื่อคืนมีการส่งสัญญาณเกี่ยวกับการผ่อนคลายนโยบายเพิ่มเติม พร้อมบั่นทอนกระแสคาดการณ์ของตลาดที่จะเห็นเศรษฐกิจฟื้นตัวจากผลกระทบของวิกฤตไวรัสโคโรนาได้อย่างรวดเร็ว

ค่าเงินดอลลาร์ยังอ่อนค่าลงจากสัญญาณการชะลอตัวของอัตราการระบาดในต่างประเทศ ประกอบกับความต้องการสินทรัพย์เสี่ยงที่ฟื้นตัวขึ้นได้บ้าง หลังมีรายงานเกี่ยวกับการทดสอบยารักษาไวรัสที่ได้ผลเป็นที่น่าพึงพอใจ ทำให้ความต้องการค่าเงินดอลลาร์ที่เป็น Safe-haven ลดน้อยลงในวันนี้

ค่าเงินยูโรอ่อนค่าลงก่อนหน้าการประชุม ECB คืนนี้ ซึ่งคณะกรรมการมีแนวโน้มที่จะประกาศใช้มาตรการเข้าซื้อพันธบัตรเพิ่มและขยายการเข้าซื้อไปยังตราสารหนี้ขยะ (Junk bonds) รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอื่นๆเพื่อบรรเทาแรงกดดันในตลาดเครดิต

ค่าเงินหยวนแข็งค่าแตะระดับแข็งค่าที่สุดในรอบ 2 สัปดาห์ ท่ามกลางความหวังเกี่ยวกับการค้นพบยารักษาไวรัส รวมถึงการประกาศข้อมูลเศรษฐกิจจีนที่บ่งชี้ถึงการเริ่มฟื้นตัวของเศรษฐกิจ แม้หนทางข้างหน้าจะยังดูไม่ค่อยสดใสนักก็ตาม

ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินเยนแถวระดับ 106.50 เยน/ดอลลาร์ ใกล้ระดับต่ำสุดในรอบ 6 สัปดาห์

เมื่อเทียบกับเงินปอนด์ ดอลลาร์ค่อนข้างทรงตัวแถว 1.2480 ดอลลาร์/ปอนด์ หลังจากเมื่อวานนี้อ่อนค่าลง 0.3

ค่าเงินหยวนในประเทศแข็งค่าทำระดับแข็งค่าที่สุดในรอบ 2 สัปดาห์ที่ 7.0534 หยวน/ดอลลาร์ โดยได้รับแรงหนุนจากตัวเลขภาคอุตสาหกรรมเดือน เม.ย. ที่สะท้อนถึงการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ แม้จะขยายตัวเล็กน้อย แต่เป็นการขยายตัวติดต่อกันได้ 2 เดือน

ขณะที่ค่าเงินยูโรอ่อนค่าเล็กน้อยแถว 1.0866 ดอลลาร์/ยูโร

 

·       EUR/USD Price Analysis: หลุดจากสัญญาณ Rising wedge แต่ยังต่ำกว่า 1.0900


บทวิเคราะห์ทางเทคนิคจาก FX Street ระบุว่าค่าเงินยูโรฟื้นตัวขึ้นมาเล็กน้อยในช่วงสายของตลาดเอเชียวันนี้ แถวระดับ 1.0870 ดอลลาร์/ยูโร จึงเป็นการยกเลิกสัญญาณ Rising wedge ที่เป็นสัญญาณของการย่อตัวลง

อย่างไรก็ตาม ทิศทางขาลงตั้งแต่วันที่ 16 เม.ย. ก็ยังคงดำเนินต่อไป และยังมีแนวต้านที่ระดับ 61.8% Fibonacci retracement วัดจากวันที่ 14 – 24 เม.ย. หรือที่ระดับ 1.0885 – 1.0890 ดอลลาร์/ยูโร คอยกดดันโอกาสฟื้นตัวของค่าเงินอยู่ และยังมีแนวต้านถัดไปอยู่ที่ระดับ 1.0915 ดอลลาร์/ยูโร 

ในขณะที่แนวรับจะอยู่ที่ระดับ 1.0860 ดอลลาร์/ยูโร หากหลุดแนวรับนี้ลงมา ค่าเงินจะมีโอกาสร่วงต่อไปถึงระดับ 1.0800 และ 1.0760 ดอลลาร์/ยูโร ตลอดจนระดับต่ำสุดที่ 1.0725 ดอลลาร์/ยูโร

 


·       คณะกรรมการของธนาคารกลางยุโรป หรือ ECB จะมีการประชุมกันในคืนนี้ เพื่อหารือกันว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ประกาศใช้ไปก่อนหน้านี้ จะเพียงพอต่อการช่วยเหลือเศรษฐกิจให้สามารถก้าวข้ามวิกฤตไวรัสโคโรนาไปได้หรือไม่

มีความเป็นไปได้สูงที่นางคริสทีน ลาร์การ์ด ประธาน ECB จะกล่าวย้ำถึงความสามารถของ ECB ที่จะออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมในทันที หากมีความจำเป็นในการป้องกันไม่ให้เศรษฐกิจเผชิญภาวะความตึงตัวทางการเงินที่มากไปกว่านี้

นักวิเคราะห์จากสถาบัน Natixis มีมุมมองว่า ภารกิจหลักของที่ประชุม ECB ในคืนนี้มีอยู่ 2 อย่าง อย่างแรกคือการสร้างความเชื่อมั่นในนโยบายผ่อนคลายทางการเงินและป้องกันความตึงเครียดในระบบการเงิน

อย่างที่สองคือการใช้นโยบายที่จะสามารถช่วยบริหารความแตกต่างระหว่างอัตราผลตอบแทนของรัฐบาลประเทศรายหลักกับรายย่อยในยุโรปอย่างอิตาลี สเปน โปรตุเกส และกรีซ ซึ่งเป็นปัจจัยที่สะท้อนถึงความกังวลในตลาดเกี่ยวกับโอกาสเกิดภาวะวิกฤตหนี้สินในทวีปยุโรปได้เป็นอย่างดี

 

·       จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ของสหรัฐฯที่จะประกาศในคืนนี้ ถูกคาดว่าจะยังมีชาวอเมริกันนับหลายล้านคนยื่นขอรับสวัสดิการเพิ่มอีก แม้ว่ายอดดังกล่าวจะเริ่มชะตัวลงเมื่อเทียบกับยอดของสัปดาห์ก่อนหน้า แต่ก็ยังเป็นสัญญาณที่แสดงให้เห็นว่าผลกระทบจากวิกฤตไวรัสโคโรนายังคงขยายตัวเป็นวงกว้างขึ้น

ทั้งนี้ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ของสหรัฐฯเพิ่มขึ้นด้วยอัตราที่มากที่สุดเป็นประวัติการณ์ที่ 6.867 ล้านคน เมื่อสัปดาห์ของวันที่ 28 มี.ค. ที่ผ่านมา และมีการรายงานยอดที่น้อยลงเรื่อยๆตามมาในช่วงสัปดาห์หลังจากนั้

อย่างไรก็ตาม การประกาศจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการในคืนนี้ ถูกคาดว่าจะมีคนว่างงานเพิ่มขึ้น 3.50 ล้านคน ลดลงจากยอดของสัปดาห์ก่อนหน้าที่ 4.427 ล้านคน และนับเป็นการชะลอตัวลงติดต่อกัน 4 สัปดาห์

นักวิเคราะห์จาก Citigroup ระบุว่าเนื่องจากระบบลงทะเบียนของภาครัฐ ทำให้ช่วงแรกๆที่วิกฤติไวรัสเริ่มส่งผลกระทบมีจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานเพิ่มขึ้นเป็นประวัติการณ์ จากนั้นยอดดังกล่าวจึงเริ่มชะลอตัวเรื่อยๆ อย่างไรก็ตาม ปริมาณอุปสงค์ในเศรษฐกิจที่ตกต่ำลง อาจส่งผลให้อุตสาหกรรมอื่นๆที่อาจจะไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากไวรัสในช่วงแรก เริ่มได้รับผลกระทบตามมาเป็นวงกว้างกันมากขึ้น

 

·       ผู้คนทั่วโลกต่างรอคอยประกาศจากรัฐบาลว่า สามารถควบคุมไวรัสโคโรนาได้แล้ว และสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติ

แต่ผู้คนที่อู่ฮั่นอาจต้องรออีกนาน ในครั้งที่เจ้าหน้าที่เมืองอู่ฮั่นผ่อนคลายมาตรการจำกัดการเดินทางเมื่อวันที่ 8 เม.ย. หลังทำการปิดเมืองไป 76 วัน ขณะที่เจ้าของธุรกิจต้องเผชิญกับการขาดทุนและค่าเช่าราคาสูง ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า อาจต้องใช้เวลานานอีกหลายเดือนกว่าเศรษฐกิจของอู่ฮั่นจะกลับมาฟื้นตัว

นอกจากนี้ นักเศรษฐศาสตร์จากบริษัท Macquarie Capital Limited ระบุว่า เศรษฐกิจจะกลับมาฟื้นตัวอย่างแน่นอนในระยะสั้น ภาคการผลิตจะเป็นส่วนแรกที่ดีขึ้นตามมาด้วยการบริโภคเพราะผู้คนยังกลัวที่จะออกจากบ้าน อย่างไรก็ตาม ในระยะยาว ไวรัสโคโรนาจะทำให้เศรษฐกิจของอู่ฮั่นถดถอยอย่างมาก

เจ้าของธุรกิจรายย่อยบางส่วนเผยกับ CNN ถึงความกังวลว่าความช่วยเหลือจากรัฐบาลจะมาถึงช้าเกินไปที่จะช่วยพยุงร้านค้ารายย่อยและร้านอาหาร ซึ่งอาจส่งผลให้ต้องปิดกิจการ แย่ไปกว่านั้น ผู้อยู่อาศัยท้องถิ่นและเจ้าของธุรกิจยังเชื่อว่า จะมีการระบาดของไวรัสโคโรนาอีกครั้ง ส่งผลให้เกิดการ Lockdown ครั้งที่สองและต้องเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยอีกครั้ง

 

·       กระทรวงการคลังจีน เปิดเผยว่า จีนจะเพิ่มเงินสมทบสำหรับสนามบินขนาดเล็กและขนาดกลาง โดยรัฐบาลจะขึ้นเงิน 50% สำหรับสำหรับสนามบินที่มีจำนวนผู้โดยสารมากกว่า 2 ล้านรายเป็นครั้งแรก

 

·       ราคาน้ำมันปรับสูงขึ้นท่ามกลางตลาดที่มีความเชื่อมั่นดีขึ้น หลังจากมีสัญญาณว่าปริมาณสต็อกน้ำมันในสหรัฐฯไม่ได้เติบโตเร็วเกินไป ประกอบการกับแนวโน้มที่อุปสงค์ในน้ำมันจะเริ่มฟื้นตัวกลับมาอีกครั้ง หากหลายๆประเทศเริ่มเดินหน้าแผนผ่อนคลาย Lockdown ตามที่คาดหวัง

ด้านราคาสัญญาน้ำมัน WTI ปรับสูงขึ้น 9.2% หรือ 1.39 เหรียญ แถวระดับ 16.45 เหรียญ/บาร์เรล ระหว่างวันทำระดับสูงสุดที่ 17.75 เหรียญ/บาร์เรล โดยเป็นการขึ้นต่อจากเมื่อวานที่ขึ้นมาได้ 22%

ขณะที่ราคาสัญญาน้ำมันดิบ Brent ส่งมอบเดือน มิ.ย. ปรับขึ้น 5.6% หรือ 1.27 เหรียญ แถวระดับ 23.81 เหรียญ/บาร์เรล โดยสัญญาส่งมอบเดือน มิ.ย. จะหมดอายุในวันนี้ ส่วนสัญญาที่มีปริมาณซื้อขายมากที่สุดในปัจจุบัน คือสัญญาส่งมอบเดือน ก.ค. โดยวันนี้ปรับขึ้นได้ 5% หรือ 1.15 เหรียญ แถวระดับ 25.38 เหรียญ/บาร์เรล

สำนักงานด้านพลังงานของสหรัฐฯเผยจำนวนน้ำมันในสต็อกเพิ่มขึ้น 9 ล้านบาร์เรล เมื่อสัปดาห์ก่อน สู่ระดับ 527.6 ล้านบาร์เรล ต่ำกว่าที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 10.6 ล้านบาร์เรลพอสมควร

 

·       IEA คาดอุปสงค์พลังงานปีนี้จะร่วงต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ เนื่องจากวิกฤตไวรัสโคโรนา

สำนักงานพลังงานนานาชาติ หรือ IEA เผยคาดการณ์ล่าสุดเกี่ยวกับปริมาณอุปสงค์พลังงานทั่วโลก พบว่ามีแนวโน้มสูงที่อุปสงค์จะลดน้อยลงทำระดับต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์ นับตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2

ท่ามกลางผู้คนทั่วโลกประมาณ 4.2 พันล้านชีวิตที่ถูกรัฐบาลสั่ง Lockdown เพื่อชะลอการระบาดของไวรัส IEA จึงคาดการณ์ว่าปริมาณอุปสงค์ในพลังงานทุกประเภทจะลดลง 6% ในปีนี้ ซึ่งนับเป็นอัตราชะลอตัวลงที่มากที่สุดในรอบ 70 ปี

ส่วนผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากอุปสงค์พลังงานที่อ่อนแอจะสาหัสยิ่งกว่าวิกฤตการเงินปี 2008 ถึง 7 เท่า

ทางสำนักงานระบุว่า การชะลอตัวของอุปสงค์ที่คาดการณ์ไว้เปรียบได้กับการสูญเสียอุปสงค์จากประเทศอินเดียทั้งประเทศทีเดียว ซึ่งนับว่าเป็นสถานการณ์ที่โลกไม่เคยเผชิญมาก่อนอย่างแท้จริง

สำหรับการฟื้นตัวของอุปสงค์ IEA คาดว่าการฟื้นตัวจะถูกจำกัดอยู่ที่ 3.8% สำหรับปีนี้ ส่วนในกรณีที่เกิดการระบาดของไวรัสเป็นระลอกที่สอง การชะลอตัวของอุปสงค์จะสาหัสยิ่งกว่าระดับ 6%

 

 

·       Oil Price Forecast: คาด WTI ปรับขึ้นต่อจากระดับ 16 เหรียญ/บาร์เรล

บทวิเคราะห์จาก Reuters ระบุว่าราคาน้ำมัน WTI กำลังเคลื่อนไหวแดนบวกประมาณ 8% แถว 16.30 เหรียญ/บาร์เรลในช่วงสายวันนี้

พร้อมประเมินว่าราคาน้ำมันมีโอกาสปรับขึ้นต่อ เนื่องจากการปรับกำลังการผลิตของกลุ่ม OPEC+ นำโดยรัสเซียและซาอุดิอาระเบียน่าจะเริ่มมีการปรับลดกำลังการผลิตด้วยอัตราเกือบ 10 ล้านบาร์เรล กำลังจะเริ่มต้นในวันที่ พ.ค.นี้ นอกจากนี้ ยังมีรายงานเกี่ยวกับการที่หน่วยงานกำกับดูแลน้ำมันในรัฐเท็กซัสของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นรัฐที่มีกำลังผลิตน้ำมันสูงที่สุด กำลังพิจารณาว่าจะจัดการลงมติเพื่อตัดสินว่าจะปรับลดกำลังการผลิตลงหรือไม่ ภายในวันที่ พ.ค. ขณะที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในรัฐนอร์ทดาโคตาและรัฐโอคลาฮามาก็กำลังพิจารณาลดกำลังการผลิตลงเช่นกัน


บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com