• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 30 เมษายน 2563

    30 เมษายน 2563 | Economic News



·         สถานการณ์ไวรัสโคโรนา:

Ø  จำนวนผู้ติดเชื้อทั่วโลกล่าสุดอยู่ที่ 3,218,184

Ø  จำนวนผู้เสียชีวิตทั่วโลกล่าสุดอยู่ที่ 228,026 ราย

Ø  จำนวนประเทศติดเชื้อทั่วโลกล่าสุดอยู่ที่ 210 ประเทศ

Ø  จำนวนผู้ติดเชื้อในสหรัฐฯล่าสุดมีผู้ติดเชื้ออยู่ที่ 1,064,194 ราย (+28,429) และมีผู้เสียชีวิตที่ระดับ 61,656 ราย (+2,390)

Ø  จำนวนผู้ติดเชื้อในไทยล่าสุดรวมผู้ติดเชื้อสะสมอยู่ที่ 2,947 ราย (+9) และมีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นรวมสะสม 54 ราย

·         องค์การอาหารและยา (FDA) กำลังหารือถึงตัวยา Remdesivir ของบริษัท Gilead Sciences ในการรักษาอาการผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาให้เร็วที่สุดและเหมาะสมที่สุด หลังจากผลการทดสอบพบว่าตัวยาของบริษัทดังกล่าวค่อนข้างถือเป็นข่าวดี เนื่องจากเป็นยาพื้นฐานที่ใช้รักษาผู้ป่วยที่อาการดีขึ้นตามลำดับ

The New York Times รายงานว่า องค์การอาหารและยาเมื่อวานนี้เผยแผนอย่างเร่งด่วนในการหารือการพัฒนาและทดสอบตัวยา Remdesivir

·         รายงานจาก Reuters ระบุว่า การมาของข่าวดังกล่าวได้ช่วยเพิ่มความหวังในการต่อสู้กับไวรัสโคโรนามากขึ้น เนื่องจากผลการทดสอบจากคลินิกสำคัญๆพบว่าตัวยา Remdesivir ได้ช่วยรักษาอาการคนไข้ให้ฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วขึ้นจากอาการป่วย  โดยข้อมูลผลการทดสอบขั้นต้นจากรัฐบาลสหรัฐฯพบว่ากลุ่มผู้ติดเชื้อที่ได้รับยาดังกล่าวกว่า 31มีอาการดีขึ้นอย่างรวดเร็ว และนี่ถือเป็นกรณีสำคัญ  เนื่องจากเป็นการค้นพบคล้ายกับเหตุการณ์ในปี 1986 ที่พบตัวยาที่สามารถรักษา HIV

·         การ Lockdown ของสเปนดูจะมีความคืบหน้ามากขึ้นที่จะเห็นถึงความผ่อนคลาย แต่ดูแล้วจะเป็นการดำเนินการอย่างค่อยเป็นค่อยไปตั้งแต่สัปดาห์หน้าที่ต้องใช้ความมีวินัยควบคู่กันไปด้วย  

ทั้งนี้ สเปนใช้มาตรการ Lockdown มาแล้วตั้งแต่ 14 มี.ค. และนั่นทำให้เกิดผลเสียต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ

·         ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงหลังจากที่เฟดยังตัดสินใจคงดอกเบี้ยและกล่าวย้ำที่จะทำทุกทางในการสนับสนุนเศรษฐกิจอันได้รับผลกระทบจากการปิดภาคธุรกิจชั่วคราว ท่ามกลางการระบาดของไวรัสโคโรนา

ดัชนีดอลลาร์อ่อนค่าลงอีก 0.32ที่ 99.544 จุด แต่ก็ยังทรงตัวได้เหนือระดับต่ำสุดรอบ 2 สัปดาห์ที่ทำไว้เมื่อวันอังคารที่ 99.44 จุด

ภาพรวมค่าเงินดอลลาร์อ่อนอ่อนค่าลงมาแล้วกว่า 3% หลังไปทำสูงสุดในรอบ 3 สัปดาห์ในช่วงปลายเดือนมี.ค. บริเวณ 102.99 จุด จากการที่ธนาคารกลางทั่วโลกเดินหน้าใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อปกป้องเศรษฐกิจจากการระบาด





กระทรวงพาณิชย์เผย จีดีพีสหรัฐฯร่วงลง -4.8% ในไตรมาสที่ 1 หลังจากที่ขยายตัวได้ 2.1ในไตรมาสสุดท้ายของปีที่แล้ว แต่ดอลลาร์ก็ไม่ได้ตอบรับกับข้อมูลดังกล่าวเท่าใดนัก และทำให้หลายๆฝ่ายมองว่าการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจจะเป็นไปแบบ V-Shape และสิ่งที่เป็นกังวลมากที่สุดคือข้อมูลของไตรมาสที่ 2 มากกว่า เพราะอาจทำให้เราเห็นจีดีพีหดตัวลงไปกว่า 40% ได้

นอกจากนี้ ดอลลาร์ยังอ่อนค่ารับข่าวยาของ Gilead Sciences ที่สามารถรักษาอาการติดเชื้อไวรัสโคโรนาอย่างเห็นผล จึงทำให้ความต้องการสินทรัพย์เสี่ยงฟื้นตัว ขณะเดียวกันตลาดก็ยังมีมุมมองเชิงบวกต่อการที่ภาคธุรกิจทั่วทุกมุมโลกใกล้กลับมาเปิดทำการอีกครั้ง

ค่าเงินยูโรแข็งค่าขึ้น 0.51ที่ 1.0873 ดอลลาร์/ยูโร ก่อนที่อีซีบีจะจัดประชุมในวันนี้

 

·         เฟดจะตรึงดอกเบี้ยแถว 0% ตราบเท่าที่การจ้างงานและเงินเฟ้อจะกลับมาขยายตัว


การประชุมเฟดเมื่อคืนนี้ ดูเฟดจะให้ความสนใจไปยังเงื่อนไขทางเศรษฐกิจ ณ ปัจจุบัน พร้อมให้คำมั่นว่าจะเดินห้าผ่อนคลายทางการเงินครั้งใหญ่ต่อไปเพื่อให้เศรษฐกิจสหรัฐฯสามารถกลับมาฟื้นตัวได้ โดยเฟดจะยังคงดอกเบี้ยที่ระดับปัจจุบันในกรอบ 0 – 0.25ต่อไป

สมาชิกเฟดจับตาวิกฤตด้านสุขภาพในปัจจุบันที่ดูจะเป็นปัจจัยกดดันกิจกรรมทางเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก รวมทั้งการจ้างงานและเงินเฟ้อ  โดยเฟดจะยังคงดอกเบี้ยต่อไปจนกว่าจะมั่นใจต่อเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจและเงินเฟ้อกับจ้างงานกลับสู่เป้าหมาย

นายเจอโรม โพเวลล์ ประธานเฟด กล่าวว่า เฟดไม่เร่งรีบในการถอนมาตรการผ่อนคลายต่างๆ และจะรอจนกว่าจะมั่นใจว่าเศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัวได้เป็นอย่างดี

อย่างไรก็ดี ประธานเฟดไม่ได้แสดงความคิดเห็นต่อความมั่นใจของเฟดกับทิศทางเศรษฐกิจ เพียงแต่กล่าถึงการจะจับตาไปยังเงื่อนไขที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ด้านสุขภาพ รวมทั้งความคืบหน้าทางเศรษฐกิจโลกและแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ ซึ่งจะใช้ทุกเครื่องมือและวิธีการที่เหมาะสมในการสนับสนุนเศรษฐกิจ

นอกจากนี้ เฟดไม่ได้กล่าวถึงแผนการเข้าซื้อพันธบัตรในอนาคต โดยระบุแต่เพียงจะเข้าซื้อต่อเนื่องตราบที่จำเป็น และในรายละเอียดไม่ได้กล่าวถึงการหารือแบบเฉพาะเจาะจงของเฟดเกี่ยวกับวิกฤตในปัจจุบัน

ทั้งนี้ ประธานเฟดมีการหั่นมุมมองเศรษฐกิจโดยมองว่าอาจถูกกดดันจากความวิตกกังวลของผู้บริโภค และมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม ที่อาจยาวนานขึ้นจากวิกฤตไวรัสครั้งนี้  โดยเศรษฐกิจสหรัฐฯไม่มีสัญญาณจะกลับมาฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว


·         นายสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีกระทรวงการคลังสหรัฐฯ กล่าวว่า เขาพร้อมที่จะลงทุนมากขึ้น จากการเพิ่มหรือขยายมาตรการช่วยเหลือด้านโปรแกรมเงินกู้จากเฟดที่ดูจะทำให้มีเม็ดเงินเพิ่มขึ้น แต่ก็ไม่ได้มีการตัดสินใจในการช่วยเหลือเพิ่มเติมแก่กลุ่มมสายการบินในเวลานี้

โดยในกองทุนสำรองมีงบ 2.59 แสนล้านเหรียญ จากวงเงิน 2.2 ล้านเหรียญในการต่อสู้กับไวรัสโคโรนาจากร่างงบประมาณที่ผ่านในช่วงปลายเดือนมี.ค.

ทั้งนี้ นายมนูชิน จะยังไม่ใช้การย้ายเม็เงินโดยตรงไปยังภาคธุรกิจหรือจะเตรียมการช่วยเหลืออย่างเฉพาะเจาะจงกับภาคอุตสาหกรรม อาทิ กลุ่มผู้ผลิตน้ำมัน ซึ่งเจ้าหน้าที่จะพิจารณาเม็ดเงินให้เหมาะสมตลอดจนคำนึงถึงความสอดคล้องจากนโยบายเงินกู้ของเฟด


·         สหรัฐฯสามารถสำรองน้ำมันได้อีกหลายร้อยล้านบาร์เรล

นายโดนัลด์ ทรัมป์ประธานาธิบดีระบุว่า ทีมบริหารจะประกาศแผนการเพื่อช่วยบริษัทน้ำมันในสหรัฐฯ โดยนายสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีกระทรวงการคลังกล่าวว่า อาจมีการเพิ่มเพดานการสำรองน้ำมันอีกหลายล้านบาร์เรล แต่ยังไม่ได้เผยรายละเอียดว่ารัฐบาลจะสำรองน้ำมันได้อีกเท่าไหร่ เพราะการระบาดของไวรัสโคโรนาทั่วโลกทำให้อุปสงค์น้ำมันลดลง มนูชินยังเสริมอีกว่า กระทรวงการคลังและกระทรวงพลังงานกำลังมองหาทางเลือกอื่นๆ

 

·         น้ำมันดิบปิดพุ่ง 22จากสต็อกน้ำมันดิบที่ลดลงเกินคาด และมุมมองเชิงบวกต่อการกลับมาเปิดทำการทางเศรษฐกิจ

ราคาน้ำมันดิบปิดปรับตัวสูงขึ้นกว่า 20เมื่อวานนี้ หลังข้อมูลสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯจากกระทรวง EIA เผยว่าออกมาดีขึ้นกว่าที่คาด โดยมีการเพิ่มขึ้นในสัปดาห์ที่แล้วประมาณ 9 ล้านบาร์เรล จากที่คาดว่าจะออกมา 11.7 ล้านบาร์เรล และมียอดการผลิตน้ำมันในสหรัฐฯที่ลดลงไป 100,000 บาร์เรล/วันในสัปดาห์ที่แล้วสู่ระดับ 12.1 ล้านบาร์เรล  นอกจากนี้ ตลาดยังตอบรับกับมุมมองที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจอาจกลับมาเปิดทำการได้เร็วกว่าที่คาด

น้ำมันดิบ WTI ปิด +22.04% หรือ +2.72 เหรียญ ที่ระดับ 15.06 เหรียญ/บาร์เรล และระหว่างวันทำสูงสุดที่ 16.78 เหรียญ/บาร์เรล ในส่วนของ Brent ปิดปรับขึ้น 2.08 เหรียญ หรือ +10.17ที่ 22.54 เหรียญ/บาร์เรล

ทั้งนี้ ผลทดสอบตัวยาของบริษัท Gilead Sciences ดธจะเพิ่มความหวังว่าเศรษฐกิจจะกลับมาเปิดทำการได้เร็วขึ้น หลังผลสำรวจตัวยาสะท้อนว่าไม่น้อยว่า 50ของคนไข้ที่ได้รับยาตัวนี้สามารถมีอาการดีขึ้นในระยะเวลา 5 วัน  และเกินกว่าครึ่งที่ได้รับตัวยาสามารถออกจากโรงพยาบาลเพื่อพักรักษาตัวต่อที่บ้านได้ในเวลาเพียง 2 สัปดาห์



บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com