• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคค่ำ) ประจำวันที่ 29 เมษายน 2563

    29 เมษายน 2563 | Economic News

·         ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินส่วนใหญ่ในวันนี้ก่อนทราบผลประชุมเฟด ท่ามกลางความหวังเกี่ยวกับการกลับมาเปิดเศรษฐกิจหรือผ่อนคลายมาตรการ Lockdown ในหลายๆประเทศ ช่วยหนุนความเชื่อมั่นของนักลงทุนในการกลับเข้าหาสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น

โดยค่าเงินดอลลาร์เคลื่อนไหวค่อนข้างทรงตัวในช่วงต้นตลาดเอเชีย ก่อนที่จะปรับอ่อนค่าลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับเงินยูโรและเงินปอนด์ แต่แข็งค่าขึ้น 0.3% เมื่อเทียบกับเงินเยน ทำแข็งค่าที่สุดในรอบ 6 สัปดาห์แถว 106.55 เยน/ดอลลาร์

 

อย่างไรก็ตาม ค่าเงินดอลลาร์ก็อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินส่วนใหญ่ในภูมิภาคเอเชีย

 

โดยค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียแข็งค่า 0.6% ทำระดับแข็งค่าที่สุดในรอบ 7 สัปดาห์แถว 0.6533 ดอลลาร์ นับเป็นการแข็งค่าติดต่อกัน 6 วันทำการ ขณะที่ภาพรวมรายเดือนมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นด้วยอัตราที่มากที่สุดในรอบ 4 เดือน ฝั่งค่าเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์แข็งค่าขึ้นด้วยอัตราใกล้เคียงกันทำระดับแข็งค่าที่สุดในรอบ 2 สัปดาห์แถว 0.6119 ดอลลาร์

ตลาดกำลังจับตาการประกาศตัวเลข GDP ของสหรัฐฯในคืนนี้ และถัดจากนั้นจะเป็นผลการประชุมเฟด ขณะที่คืนพรุ่งนี้จะมีผลการประชุมของ ECB รวมถึงการที่วันนี้เป็นวันหยุดประจำชาติของญี่ปุ่น ทำให้การซื้อขายในตลาดการเงินวันนี้ค่อนข้างซบเซา



·         USD/JPY Price Analysis: เงินเยนย่อตัวหลุด 107.00 และมีความเสี่ยงย่อต่อถึง 106.00

บทวิเคราะห์จาก FX Street ระบุว่าค่าเงินดอลลาร์เมื่อเทียบกับเงินเยน (USD/JPY) มีการย่อตัวลงมาเคลื่อนไหวใกล้ระดับ 106.50 เยน/ดอลลาร์ คิดเป็น -0.33% ในภาพรวมวันนี้ นับเป็นการเคลื่อนไหวในแดนลบติดต่อกัน 5 วันทำการ หลังจากที่ย่อตัวหลุดระดับสำคัญที่ 106.90 เยน/ดอลลาร์ลงมา

 

ดังนั้น ค่าเงินจะมีแนวรับขยับลงมาที่ระดับ 105.90 – 105.95 เยน/ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับ 50% Fibonacci retracement วัดจากระดับต่ำสุดของเดือน ก.พ. – มี.ค. หากหลุดแนวรับนี้ลงมาจะมีความเสี่ยงย่อต่อลงมาถึงระดับ 105.00 เยน/ดอลลาร์

 

อีกด้านหนึ่ง หากค่าเงินสามารถฟื้นตัวเหนือระดับ 106.90 เยน/ดอลลาร์ได้ ก็จะมีแนวต้านถัดไปอยู่ที่ 107.60 เยน/ดอลลาร์ ซึ่งเป็นแนวต้านสำคัญของภาพรวมรายเดือน และถัดไปอีกที่ระดับ 108.00 เยน/ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับ 61.8% Fibonacci retracement



·         EUR/USD Forecast: ตลาดรอตัวเลข GDP สหรัฐฯ และการประชุมเฟดคืนนี้

บทวิเคราะห์ค่าเงินยูโรจาก FX Street ระบุว่าตลาดจะจับตากาประกาศตัวเลข GDP สหรัฐฯ และการประชุมเฟดคืนนี้ สำหรับในเชิงเทคนิคระบุว่า ค่าเงินยูโรไม่สามารถคงทิศทางแข็งค่าเมื่อวานนี้ได้ โดยหลังจากที่ไม่สามารถปรับขึ้นเหนือเส้นเทรนขาลงตั้งแต่ระดับสูงสุดของเดือน มี.ค. ที่ 1.1147 ดอลลาร์/ยูโรได้ ค่าเงินจึงเริ่มเคลื่อนไหวในทิศทาง Sideways เพื่อรอการประกาศตัวเลขและเหตุการณ์สำคัญทางเศรษฐกิจ ขณะที่กราฟราย 4 ช.ม. แสดงให้เห็นว่าค่าเงินกำลังเคลื่อนไหวระหว่างเส้นค่าเฉลี่ยราย 20 และ 100 วัน ส่วนสัญญาณทางเทคนิคเริ่มชะลอตัวลงแต่ยังอยู่ในแดนบวก ดังนั้นค่าเงินจะกลับมาเป็นขาขึ้นได้อีกครั้งหากสามารถยืนเหนือระดับ 1.0920 ดอลลาร์/ยูโร ในทางกลับกัน หากอ่อนค่าลงก็จะมีโอกาสลงไปถึงระดับ 1.0750 ดอลลาร์/ยูโร

 

แนวรับ: 1.0790 1.0750 1.0710 

แนวต้าน: 1.0865 1.0900 1.0940

 

สถานการณ์ไวรัสโคโรนา:

 

จำนวนผู้ติดเชื้อทั่วโลกล่าสุดอยู่ที่ 3,146,200

 

จำนวนผู้เสียชีวิตทั่วโลกล่าสุดอยู่ที่ 218,139 ราย

 

จำนวนประเทศติดเชื้อทั่วโลกล่าสุดอยู่ที่ 210 ประเทศ

 

จำนวนผู้ติดเชื้อในสหรัฐฯล่าสุดมีผู้ติดเชื้ออยู่ที่ 1,035,765 ราย และมีผู้เสียชีวิตที่ระดับ 59,266 ราย

 

จำนวนผู้ติดเชื้อในไทยล่าสุดรวมผู้ติดเชื้อสะสมอยู่ที่ 2,947 (+9) ราย และมีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นรวมสะสม 54 ราย




·        ยอดจีดีพีสหรัฐฯในไตรมาสแรกมีแนวโน้มหดตัวลง

การเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯกำลังจะหดตัวลงมากที่สุดตั้งแต่ Great Depression ในช่วงปี 1930 แต่ในไตรมาสแรกปีนี้ก็มีแนวโน้มว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯจะออกมาไม่ดีนัก จากการระบาดของไวรัสโคโรนาตั้งแต่เดือนมี.ค. ทำให้เกิดการเติบโตของเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอยครั้งแรกในรอบเกือบ 11 ปี

ผลสำรวจบรรดานักเศรษฐศาสตร์โดย MarketWatch  คาดว่า จีดีพีจะหดตัวลงประมาณ 3.9% ในไตรมาสแรก ซึ่งจะเป็นการหดตัวที่มากที่สุดตั้งแต่ Great Recession ในปี 2009 โดยรายงานจีดีพีสหรัฐฯไตรมาสที่ 1/20 ครั้งที่ 1 ที่จะประกาศเวลา 19.30 น.


·         สำนักข่าว Xinhua รายงานว่ารัฐบาลจีนสามารถกำหนดวันที่สำหรับการประชุมรัฐสภาประจำปีใหม่ได้แล้ว คือวันที่ 22 พ.ค. เลื่อนออกจากกำหนดการเดิมมาประมาณ 2 เดือนเนื่องจากผลกระทบของวิกฤตไวรัสโคโรนา

และนอกจากการประชุมรัฐสภาประจำปีที่ได้กำหนดการใหม่แล้ว จะมีการประชุมนโยบายการเมืองของรัฐบาลในวันที่ 21 พ.ค. อีกด้วย


·         บริษัทผู้ผลิตอากาศยาน Airbus ประกาศผลกำไรหลักลดลงถึง 49% ในไตรมาสที่ 1/2020 ที่ระดับ 2.81 แสนล้านยูโร (304.7 ล้านเหรียญ) หลังหักลบภาษีและค่าดำเนินงานแล้ว ขณะที่ผลประกอบการลดลง 15% สู่ระดับ 1.0631 หมื่นล้านยูโร โดยระบุว่านี่เป็นวิกฤตที่ร้ายแรงที่สุดสำหรับอุตสากรรมอากาศยาน


·         เครือธนาคาร Barclays ประกาศผลกำไรในไตรมาสที่ 1/2020 ออกมาลดลง 42% เมื่อเทียบกับปีก่อน พร้อมเผยมูลค่าที่สูญเสียไปจากการด้อยค่าของสินทรัพย์ (Credit impairment charge) ออกมาที่ระดับ 2.1 พันล้านยูโร (2.62 พันล้านเหรียญ) ขณะที่ทางเครือธนาคารยังคงอยู่ในระหว่างการประเมินผลกระทบทั้งหมดที่เกิดจากวิกฤตไวรัสโคโรนา


·         การประชุมเฟดคืนนี้ คาดไม่ลดดอกเบี้ย แต่จะตอกย้ำการ ใช้ทุกเครื่องมือที่มี” ต่อสู้กับวิกฤตไวรัส

รายงานจาก Reuters ระบุว่าการประชุมเฟดคืนนี้มีแนวโน้มสูงที่ทางคณะกรรมการจะยังไม่มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก โดยเฉพาะหลังจากที่เฟดมีการใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นวงเงินหลายล้านล้านเหรียญในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านๆมาด้วยแล้ว แต่มีความเป็นไปได้ที่เฟดจะกล่าวย้ำถึงการ ใช้ทุกเครื่องมือที่มี” เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจสหรัฐฯในการต่อสู้กับวิกฤตไวรัส

 

นอกจากนี้ก็มีความเป็นไปได้ที่เฟดจะส่งสัญญาณบางอย่างเกี่ยวกับระยะเวลาที่นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจแบบพิเศษและอัตราดอกเบี้ยใกล้ระดับ 0% จะมีผลบังคับใช้ต่อไปอีกนานไหน

 

อีกปัจจัยที่หนึ่งตลาดไม่ได้คาดว่าจะเฟดเปิดเผยออกมาในการประชุมคืนนี้ คือเรื่องของการคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจแบบละเอียด เนื่องจากยังมีความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจอีกมาก โดยเฉพาะการที่ยังไม่มีวัคซีนหรือค้นพบวิธีรักษาที่ทุกฝ่ายยอมรับได้

 

ด้านนักวิเคราะห์จาก Barclay มองว่าคณะกรรมการเฟดมีแนวโน้มที่จะตั้งเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อหรืออัตราว่างงาน เพื่อใช้เป็นเกณฑ์ประเมินความเสียหายของเศรษฐกิจ ก่อนที่จะมีมติเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยครั้งต่อไป


·         ทรัมป์อ้าง สหรัฐฯมีจำนวนผู้ติดเชื้อมากกว่าประเทศอื่น เพราะว่ามีระบบคัดกรองโรคที่ดีที่สุด

นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ทวีตข้อความในวันนี้ โดยระบุว่าสาเหตุที่ทำให้สหรัฐฯมีรายงานจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนามากที่สุดในโลก ณ ปัจจุบัน เป็นเพราะว่าสหรัฐฯมีระบบการคัดกรองโรคที่ดีกว่าประเทศอื่นๆ



·         รายงานจาก Reuters ระบุว่าภาพถ่ายทางดาวเทียมสามารถตรวจพบการเคลื่อนไหวของเรือหรูจำนวนหนึ่ง ที่มักถูกใช้โดยนายคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ และผู้ติดตามคนสนิท กำลังมีการเคลื่อนไหวใกล้กับเมืองวอนซาน บ่งชี้ว่าผู้นำเกาหลีเหนือกำลังพักผ่อนอยู่ที่บ้านพักตากอากาศ


·         Moody’s หั่นเป้าหมายราคาน้ำมันระยะสั้น

สถาบัน Moody’s Investors Service ประกาศลดเป้าหมายราคาน้ำมันในระยะสั้น ท่ามกลางภาวะที่อุปสงค์ในน้ำมันยังคงอ่อนแอจากวิกฤตไวรัสโคโรนา โดยมองเป้าหมายราคาน้ำมัน WTI ไว้ที่ 30 เหรียญ/บาร์เรล สำหรับปี 2020 และ 40 เหรียญ/บาร์เรล สำหรับปี 2021 

 

สำหรับเป้าหมายราคาน้ำมัน Brent ปรับใหม่มาเป็นเฉลี่ย 35 เหรียญ/บาร์เรล สำหรับปี 2020 และ 45 เหรียญ/บาร์เรล สำหรับปี 2021 

 

นอกจากนี้ ยังมองว่ามาตรการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันของกลุ่ใ OPEC+ และประเทศผู้ผลิตอื่นๆ จะมีอัตราปรับลดมากขึ้นเรื่อยๆในช่วงครึ่งหลังของปี 2020 เป็นต้นไป




 

·         WTI Price Analysis: ราคาทดสอบระดับ Inverse Head-and-Shoulders เหนือ 13.00 เหรียญ

บทวิเคราะห์จาก FX Street ระบุว่าราคาสัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน มิ.ย. ปรับขึ้นต่อในเช้าวันนี้ ต่อจากเมื่อคืนที่ปรับขึ้นได้หลังการประกาศข้อมูลสต็อกน้ำมันขึ้นมายืนเหนือ 13.40 เหรียญ/บาร์เรล หรือขึ้นประมาณ 8.50%

 

การที่ราคาปรับขึ้นมาได้ในวันนี้ราคาจึงเริ่มทดสอบช่วงคอ (Neckline) ของลักษณะ Head-and-Shoulders แบบกลัวหัว ซึ่งเป็นสัญญาณของทิศทางขาขึ้น และจะได้รับการยืนยันเมื่อราคาสามารถยืนเหนือ 13.65 เหรียญ/บาร์เรล จากนั้นจะมีแนวต้านถัดไปอยู่ที่ระดับ 15.60 – 15.65 เหรียญ/บาร์เรล และแนวต้านสำคัญที่ 17.00 เหรียญ/บาร์เรล

 

นอกจากนี้ ยังมีอีกระดับหนึ่งที่น่าจับตา คือเส้นค่าเฉลี่ยราย 200 วันที่กำลังเคลื่อนไหวแถวระดับ 14.65 เหรียญ/บาร์เรล จึงถือเป็นอีกแนวต้านหนึ่งที่มีความสำคัญ

 

ในทางกลับกัน หากราคาย่อตัวลงมาแถว 12.00 เหรียญ/บาร์เรลหรือต่ำกว่า ราคาอาจเผชิญแรงเทขายอีก และย่อตัวลงโดยมีแนวรับที่ระดับ 10.00 เหรียญ/บาร์เรล หากหลุดลงมาก็อาจร่วงลงไปถึงระดับ 6.50 เหรียญ/บาร์เรล


·         ราคาน้ำมัน WTI ปรับสูงขึ้นได้ในวันนี้ ท่ามกลางความหวังว่าเศรษฐกิจของหลายๆประเทศ รวมทั้งสหรัฐฯและยุโรปบางส่วนจะสามารถกลับมาเปิดเศรษฐกิจหรือผ่อนคลายมาตรการ Lockdown ได้อีกครั้งในเร็วๆนี้ จึงช่วยชดเชยอัตราที่ราคาน้ำมัน WTI จะปรับลดลงไปในภาพรวมรายสัปดาห์ได้บางส่วน

โดยราคาสัญญาน้ำมันดิบ WTI ปรับสูงขึ้น 12.6% หรือ 1.56 เหรียญ แถวระดับ 13.91 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ภาพรวมรายสัปดาห์นี้ยังคงปรับลดลง 27% ซึ่งการปรับลดลงส่วนใหญ่เกิดขึ้นในช่วง 2 วันแรกของสัปดาห์

ทั้งนี้ ในช่วงต้นตลาด ราคาสัญญาน้ำมันดิบ WTI สามารถปรับขึ้นได้มากกว่า 15% ทำระดับสูงสุดวันนี้ที่ 14.40 เหรียญ/บาร์เรล

 

ด้านราคาสัญญาน้ำมันดิบ Brent ปรับสูงขึ้น 3.1% หรือ 0.64 เหรียญ แถว 21.10 เหรียญ/บาร์เรล โดยเป็นการขึ้นต่อจากเมื่อวานที่ขึ้นได้ 2.3%

 

รายงานจากสถาบัน API (American Petroleum Institute) ระบุว่าปริมาณน้ำมันในสต็อกของสหรัฐฯเมื่อสัปดาห์ก่อน เพิ่มสูงขึ้นอีก 10 ล้านบาร์เรล เทียบกับคาดการณ์ส่วนใหญ่ที่ 10.6 ล้านบาร์เรล ทำให้ภาพรวมปริมาณน้ำมันในสหรัฐฯเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 510 ล้านบาร์เรล

 

โดยนักวิเคราะห์จาก National Australia Bank ระบุว่าเป็นข่าวในเชิงบวก เนื่องจากที่เก็บน้ำมันในสหรัฐฯอาจจะไม่เต็มเร็วตามที่หลายๆฝ่ายคาดไว้




บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com