• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคค่ำ) ประจำวันที่ 28 เมษายน 2563

    28 เมษายน 2563 | Economic News

สถานการณ์ไวรัสโคโรนา:
Ø  จำนวนผู้ติดเชื้อทั่วโลกล่าสุดอยู่ที่ 3,074,553 ราย
Ø  จำนวนผู้เสียชีวิตทั่วโลกล่าสุดอยู่ที่ 211,773 ราย
Ø  จำนวนประเทศติดเชื้อทั่วโลกล่าสุดอยู่ที่ 210 ประเทศ
Ø  จำนวนผู้ติดเชื้อในสหรัฐฯล่าสุดมีผู้ติดเชื้ออยู่ที่ 1,010,507 ราย (+151) และมีผู้เสียชีวิตที่ระดับ 56,803 ราย (+6)
Ø  จำนวนผู้ติดเชื้อในไทยล่าสุดรวมผู้ติดเชื้อสะสมอยู่ที่ 2,938 ราย (+7) และมีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นรวมสะสม 54 ราย (+2)

·       ค่าเงินดอลลาร์ค่อนข้างทรงตัวเมื่อเทียบกับสกุลเงินส่วนใหญ่วันนี้ โดยเป็นการเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆเพื่อรอดูผลการประชุมเฟดและอีซีบีภายในสัปดาห์นี้ ขณะที่ราคาน้ำมันที่ยังคงปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง เป็นปัจจัยกดดันการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง

ทั้งนี้ ค่าเงินดอลลาร์ทรงตัวเมื่อเทียบกับสกุลเงินส่วนใหญ่ ยกเว้นดอลลาร์นิวซีแลนด์เนื่องจากกระแสคาดการณ์ว่าธนาคารกลางนิวซีแลนด์จะมีการประกาศผ่อนคลายนโยบายลงอีก

นักวิเคราะห์จาก AxiCorp ระบุว่าเฟดมีการประกาศออกนโยบายหลายตัวในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา จึงมีความเป็นไปได้ค่อนข้างต่ำที่เฟดจะมีการประกาศออกนโยบายใหม่เพิ่มอีก

ขณะที่อีซีบีมีแนวโน้มที่จะประกาศนโยบายใหม่ แต่ยังไม่แน่ชัดว่าจะเป็นนโยบายแบบไหน ทำให้ตลาดค่าเงินมีการเคลื่อนไหวค่อนข้างทรงตัวในวันนี้

ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ค่อนข้างทรงตัวแถว 100.100 จุด ซึ่งเป็นระดับที่ดอลลาร์ทรงตัวมาได้ถึง 1 เดือน เมื่อเทียบกับเงินเยน ดอลลาร์อ่อนค่าเล็กน้อยแถว 107.17 และแข็งค่าเล็กน้อยเมื่อเทียบกับเงินยูโรและปอนด์

ค่าเงินยูโรเคลื่อนไหวแถวระดับ 1.0821 ดอลลาร์/ยูโร ขณะที่เงินปอนด์อ่อนค่าเล็กน้อยแถว 1.2412 ดอลลาร์/ปอนด์ หลังนายกรัฐมนตรีอังกฤษส่งสัญญาณว่ายังอันตรายเกินไปที่ผ่อนคลายมาตรการ Lockdown ประเทศลงในช่วงนี้

ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียอ่อนค่าเล็กน้อยแถว 0.6450 ดอลลาร์ หลังจากแข็งค่าติดต่อกันมาได้ วันทำการจากความหวังว่าเศรษฐกิจจะกลับมาเปิดทำการได้ในเร็วๆนี้

 

·       อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯสูงขึ้นเล็กน้อยเนื่องจากราคาน้ำมันร่วง การผ่อนปรนมาตรการ Lockdown ทำให้ความเชื่อมั่นสูงขึ้น

วันนี้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรของรัฐบาลสหรัฐฯอายุ 10 ปีปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อยที่ 0.6555% ขณะที่อัตราผลตอบพันธบัตรอายุ 30 ปีปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อยที่ 1.2517% เนื่องจากนักลงทุนจับตาราคาน้ำมันที่ร่วงลงอีก และความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจจะเปิดทำการอีกครั้งหลังจากประสบภาวะ Shutdown จากไวรัสโคโรนา

การผ่อนคลายมาตรการ Lockdown ในหลายประเทศพร้อมกับมีความเป็นไปได้ที่บางรัฐในสหรัฐฯจะเปิดทำการ ทำให้เพิ่มความเชื่อมั่นในตลาดการเงินสหรัฐฯกลับมาอีกครั้ง จึงทำให้ราคาพันธบัตรฟื้นตัวได้แม้ราคาน้ำมันยังคงร่วงลงอย่างต่อเนื่อง

 

·       รัฐจอร์เจียเริ่มดำเนินการตรวจสอบความปลอดภัยสำหรับการกลับมาเปิดเศรษฐกิจอีกครั้ง ท่ามกลางการระบาดของไวรัสโคโรนา โดยล่าสุดได้ประกาศให้ร้านอาหารสามารถเปิดทำการได้เป็นครั้งแรกในรอบ 1 เดือน ขณะที่มีรายงานจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เฉพาะภายในรัฐที่ลดน้อยลงเช่นกัน

นอกจากรัฐจอร์เจียร์แล้ว ยังมีรายงานว่ารัฐอลาสกา โอคลาฮามา และเซาท์แคโลไรนา ต่างเริ่มพิจารณาเกี่ยวกับการกลับมาเปิดเศรษฐกิจและผ่อนคลายมาตรการ Lockdown ลงเช่นเดียวกัน

 

·       สหรัฐฯประกาศเพิ่มมาตรการจำกัดการส่งออกสินค้าให้กองทัพจีน

รัฐบาลสหรัฐฯประกาศจะเพิ่มมาตรการจำกัดการส่งออกสินค้าในกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์และเทคโนโลยีอื่นๆให้กับการทหารของประเทศจีน

โดยมาตรการใหม่จะบังคับให้ผู้ประกอบการในสหรัฐฯต้องยื่นเรื่องขอใบอนุญาตสำหรับการขายสินค้าที่ระบุไว้ในมาตรการดังกล่าว ซึ่งสินค้าดังกล่าวจะเกี่ยวข้องกับการทหารในประเทศจีนเป็นหลัก ขณะที่บางสินค้าก็อาจเกี่ยวกับพลเมืองทั่วไปได้ด้วยเช่นกัน แต่ก็มีข้อยกเว้นให้กับสินค้าเทคโนโลยีของสหรัฐฯบางตัวสามารถส่งออกได้โดยไม่ต้องขอใบอนุญาต

มาตรการดังกล่าวมีความเป็นไปได้ที่จะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ และยอดขายสินค้าในกลุ่มชิ้นส่วนอากาศยานที่ส่งออกไปยังประเทศจีน

 

·       ผลวิจัยเตือน เขื่อนจีนอาจขวางทาง แม่น้ำโขง” และนำไปสู่ภัยแล้งทั่วเอเชีย

ผลการวิจัยจากสถาบัน Eyes on Earth ที่ได้รับการสนับสนุนด้านเงินทุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ ระบุว่าการสร้างเขื่อนในประเทศจีนกว่า 11 แห่ง ซึ่งตั้งอยู่บริเวณต้นน้ำของแม่น้ำโขง (Mekong River) กำลังกักน้ำที่จะไหลสู่ประเทศอื่นๆเป็นปริมาณมหาศาล ทำให้ประเทศในแถบเอเชียที่แม่น้ำสายนี้ไหลผ่านประสบภัยแล้งกันมากขึ้น ส่งผลกระทบต่อชีวิตหลายร้อยล้านชีวิต

ทั้งนี้ แม่น้ำโขงมีความยาวถึง 4,350 กิโลเมตร และไหลผ่าน 6 ประเทศ โดยเริ่มต้นจากจีน กัมพูชา ลาว ไทย และพม่า ตามลำดับ ก่อนที่จะไหลลงทะเลจีนใต้ที่ประเทศเวียดนาม ซึ่งจีนได้มีการสร้างเขื่อนแห่งแรกบริเวณต้นน้ำในช่วงปี 1990 และมีการสร้างเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ปัจจุบันมีทั้งหมด 11 แห่ง และมีแผนที่จะสร้างเพิ่มอีก เพื่อนำกระแสน้ำมาผลิตไฟฟ้า (Hydropower)

ขณะที่ทางรัฐบาลจีนได้ออกมาตอบโต้ผลวิจัยนี้ว่า ไร้หลักฐาน

 

·       รัฐบาลญีปุ่นประกาศจะเปลี่ยนวิธีคำนวนแนวโน้มการเติบโตของ GDP ในประเทศเพื่อมาใช้สำหรับตัวเลขคาดการณ์การเติบโตของ GDP ในไตรมาสที่ 1/2020 และสะท้อนให้เห็นถึงผลกระทบจากไวรัสโคโรนาที่แม่นยำยิ่งขึ้น

โดยทางรัฐบาลระบุว่า ตามปกติจะใช้ข้อมูลจากเดือน ม.ค. และ ก.พ. มาคำนวนตัวเลขในเดือน มี.ค. แต่จะปรับมาใช้ข้อมูลโดยตรงจากอุตสาหกรรมนั้นๆ มาใช้คำนวนการเติบโตในเดือนนั้นๆโดยเฉพาะแทน ยกตัวอย่างเช่น ยอดขายเบียร์หรือเครื่องดื่มจากบริษัทรายใหญ่และข้อมูลจากร้านอาหารที่เกี่ยวข้อง

 

·       ผลสำรวจจาก Reuters ชี้วา่ กิจกรรมภาคโรงงานอุตสาหกรรมมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นเป็นเดือนที่ 2 ในเดือนเม.ย. จากการที่ภาคธุรกิจกลับมาเปิดทำการได้มากขึ้นหลังเผชิญการ Lockdown เพื่อสกัดการระบาดของไวรัสโคโรนาเพิ่ม

ดัชนี PMI ภาคการผลิตที่จะเปิดเผยในวันพฤหัสบดีนี้ ถูกคาดว่าจะร่วงลงแตะ 51 จุดในเดือนเม.ย. จากเดือนก่อนหน้าที่ 52 จุด ซึ่งระดับการขยายตัวที่เหนือ 50 จุด ถือเป็นสัญญาณการขยายตัว

ทั้งนี้ การคาดการณ์เกี่ยวกับดัชนี PMI อาจสะท้อนถึงการขยายตัวได้ในระดับปานกลางของกิจกรรมในกลุ่มโรงงานอุตสาหกรรมของเศรษฐกิจจีน ขณะที่ภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกชะงักงันอันเนื่องจากการใช้มาตรการ Lockdown อย่างหนักในหลายๆประเทศ ดังนั้น จึงต้องเฝ้าระวังการอุปโภคบริโภคในภาคธุรกิจของจีน เนื่องจากจะเป็นตัวชี้วัดการฟื้นตัวของจีน

ยอดขายร้านค้าชำเติบโตได้เพียง 5.5% เมื่อเทียบรายปี ท่ามกลางกลุ่มผู้บริโภคที่อาจกลับมาอุปโภคบริโภคได้จากการผ่อนคลายมาตรการ Lockdown ขณะที่ทีมวิจัยจาก Kantar ระบุว่า การเติบโตในเดือนเม.ย. อาจปรับตัวลงได้มากกว่าในเดือนมี.ค. ที่ร่วงลงไปกว่า 20.6%

ด้านค่าเฉลี่ยการซื้อของของภาคครัวเรือนมีการจับจ่ายเพียง 14 ครั้งในช่วง 4 สัปดาห์ ปรับตัวลงทำต่ำสุดเป็นประวัติการณ์จากเดิมที่ต่ำสุดที่ 17 ครั้งหรือมากกว่านั้น


·       สถาบัน Ifo จากเยอรมนี คาดว่า เศรษฐกิจเยอรมนีจะหดตัวลงประมาณ 6.6% ในปี 2020 เมื่อเทียบรายปีอันเนื่องจากการระบาดของไวรัสโคโรนา ขณะที่ช่วง เดือนแรก หรือ ไตรมาสแรกของปีนี้คาดจะหดตัวไป 1.9% และคาดหว่าเศรษฐกิจไตรมาสที่ 2/2020 จะหดตัวไป 12.2%

 

·       อัตราว่างงานสเปนปรับตัวสูงขึ้นในช่วงไตรมาสแรกแตะ 14.4% จากเดิมที่ 13.8% ท่ามกลางภาวะ Lockdown ตั้งแต่ช่วงกลางเดือนมี.ค. เพื่อชะลอการระบาดของไวรัสโคโรนา

ทั้งนี้ ข้อมูลดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของผลกระทบจากการ Lockdown ประเทศ ในช่วงเวลาเพียง 2 สัปดาห์ก่อนปิดไตรมาส ขณะที่ผลกระทบหลักส่งตรงต่อภาคครัวเรือน

อย่างไรก็ดี สเปนถึือเป็นประเทศลำดับที่ 3 ของโลกที่มีผู้เสียชีวิตจากการติดเชื้อมากที่สุดรองจากสหรัฐฯและอิตาลี

 

·       รัฐมนตรีกระทรวงความสัมพันธ์เกาหลีเหนือแห่งเกาหลีใต้ ระบุว่ามีความเป็นไปได้ที่นายคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ ไม่ได้ปรากฏตัวในงานเฉลิมฉลองวันเกิดของคิม อิล ซุง อดีตผู้นำเกาหลี ซึ่งเป็นกรณีที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เป็นเพราะว่านายคิมต้องการหลีกเลี่ยงโอกาสติดเชื้อไวรัสโคโรนา ไม่ได้หมายความว่านายคิมกำลังป่วยตามที่รายงานคาดเดากันไปต่างๆนาๆแต่อย่างใด

 

·       ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลง 16% โดยปรับลงต่อจากที่เมื่อวานนี้ร่วงลงไปเกือบ 25% จากความกังวลเรื่องสต็อกน้ำมันดิบทั่วโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ

สัญญาน้ำมันดิบ WTI ปรับลงไป 16.12% หรือ 2.06 เหรียญ ที่ 10.72 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ Brent ปรับลงไป 5.45% หรือ 18.9 เหรียญ สู่ระดับ 18.9 เหรียญโดยประมาณ

เมื่อวานนี้ WTI ร่วงลงไป 24.56% หรือ 4.16 เหรียญ ปิดที่ 12.78 เหรียญ/บาร์เรล  และ Brent ปรับลง 6.76% ปิดที่ 19.99 เหรียญ/บาร์เรล เรียกได้ว่าเป็นสัปดาห์ที่ 8 ในรอบ 9 สัปดาห์ที่ราคาน้ำมันดิบยังปรับตัวลดลง

การระบาดของไวรัสโคโรนาดูจะส่งผลให้อุปสงค์น้ำมันทั่วโลกปรับตัวลดลงไปกว่า เท่า และนั่นจะนำมาซึ่งการปรับตัวลงของราคาน้ำมันทำต่ำสุดเป็นประวัติการณ์

 

·       Crude Oil Price Forecast

นักวิเคราะห์จาก FX Empire ประเมินว่าราคาน้ำมัน WTI มีแนวโน้มที่จะเผชิญแรงกดดันย่อตัวลงอีก โดยปัจจัยกดดันหลักมาจากภาวะที่เก็บน้ำมันเริ่มไม่เพียงพอต่อปริมาณน้ำมันที่ผลิตออกมา ขณะที่การบริโภคน้ำมันอ่อนแอลงอย่างมากจากวิกฤติไวรัสโคโรนา ซึ่งเท่ากับว่าไม่มีใครต้องการซื้อน้ำมันภาวะเช่นนี้เลย นอกจากนี้ เมื่อนักลงทุนเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับสัญญาน้ำมัน WTI ส่งมอบเดือน พ.ค. ด้วยแล้ว นักลงทุนจะยิ่งมีความระมัดระวังในการลงทุนน้ำมันเป็นพิเศษ ดังนั้น จะเป็นเรื่องไม่น่าจะแปลกใจเลยหากราคาน้ำมันจะเคลื่อนไหวลดลงอีก โดยมองแนวรับระยะสั้นไว้ที่ระดับ 10 เหรียญ/บาร์เรล และมองระดับสำหรับการเทขายทำกำไรไว้ที่ 20 เหรียญ/บาร์เรล


บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com