• สรุปข่าวตลาดหุ้น (ภาคค่ำ) ประจำวันที่ 8 เมษายน 2563

    8 เมษายน 2563 | SET News

· ตลาดหุ้นเอเชียเคลื่อนไหวผสมผสาน หลังจากที่ปรับตัวสูงขึ้นติดต่อกัน 2 วันทำการ เนื่องจากเหล่านักลงทุนมีมุมมองเชิงบวกเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาที่ชะลอตัวลงในหลายๆประเทศที่เป็นศูนย์กลางการระบาด ขณะที่ยอดผู้ติดเชื้อยังคงเพิ่มสูงขึ้นทั่วโลก

โดยดัชนี MSCI ที่ไม่รวมหุ้นญี่ปุ่นปรับตัวลดลงเกือบ 1% ก่อนที่จะกลับมาเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย

จำนวนโรงพยาบาลที่รักษาไวรัสโคโรนาดูเหมือนว่าจะลดลงในรัฐนิวยอร์ก ขณะที่ยอดผู้เสียชีวิตทั่วทั้งสหรัฐฯเพิ่มขึ้นกว่า 1,800 ราย

ด้านยอดผู้ติดเชื้อรายใหม่ของจีนเพิ่มขึ้นถึงสองเท่าภายใน 24 ชม. เนื่องจากเหล่านักเดินทางที่ติดเชื้อเดินทางกลับจากต่างประเทศ

ขณะที่เหล่าเทดรเดอร์ ระบุว่า ความไม่แน่นอนคือความผันผวนอย่างรุนแรงในตลาดน้ำมันที่ราคาดีดตัวสูงขึ้นในเอเชีย หลังจากที่ร่วงลงไปเมื่อวานนี้

· ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปรับตัวสูงขึ้น หลังจากที่นายซินโซะ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ยุติความไม่แน่นอนของตลาดโดยการประกาศภาวะฉุกเฉินในประเทศเป็นระยะเวลา 1 เดือนในกรุงโตเกียวและอีก 6 จังหวัด เพื่อรับมือกับการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาที่มียอดผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งทำให้เหล่านักลงทุนเข้าช้อนซื้อหุ้นที่ตกต่ำ เช่น กลุ่มอุตสาหกรรมรางรถไฟ และห้างสรรพสินค้า

ดัชนี Nikkei เพิ่มขึ้น 0.47% ที่ระดับ 19,039.1 ขณะที่ดัชนี Topix เพิ่มขึ้น 0.59% ที่ระดับ 1,411.44 จุด ซึ่งเป็นการปรับขึ้นติดต่อกัน 3 วันทำการ

ทั้งนี้ การประกาศภาวะฉุกเฉินดังกล่าว จะทำให้เจ้าหน้าที่มีอำนาจมากขึ้นในการกดดันให้ผู้คนอยู่บ้านและธุรกิจปิดทำการ ท่ามกลางความหวังที่ว่าจะชะลอการเสียชีวิตก็มีส่วนช่วยหนุนตลาดเช่นกัน

· ตลาดหุ้นจีนปรับตัวลดลง หลังจากยอดผู้ติดเชื้อรายใหม่ของจีนปรับเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ส่งผลให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าการแพร่ระบาดในเมืองอู่ฮั่นซึ่งเป็นศูนญืกลางของการระบาดจะสิ้นสุดลงก็ตาม

โดยดัชนี Shanghai Composite ลดลง 0.19% ที่ระดับ 2,815.37 จุด

· ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวลดลง แม้ตลาดจะมีมุมมองเชิงบวกเกี่ยวกับสถานการณ์ไวรัสโคโรนาที่ดีขึ้น โดยดัชนี Stoxx600 ลดลง 1% ด้านหุ้นกลุ่มน้ำมันและก๊าซ ลดลง 2.7% ขณะที่หุ้นภาคเทคโนโลยี เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 0.3%

อ้างอิงจากสำนักข่าวอินโฟเควสท์

- นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ในฐานะประธานคณะกรรมการร่วม 3 สถาบันภาคเอกชน (กกร.) คาดว่า การส่งออกในปีนี้จะหดตัว -5 ถึง -10% โดยได้รับผลกระทบด้านการส่งออกไปสหรัฐ ขณะที่ตลาดจีนยังฟื้นตัวลำบาก และแม้ค่าเงินบาทจะอ่อนค่าลง 7-8% แต่ไม่ส่งผลต่อยอดสั่งซื้อ ประกอบกับเกิดสถานการณ์ภัยแล้งที่ส่งผลต่อราคาและผลผลิตทางการเกษตร ส่วนอัตราเงินเฟ้อ -1.5%

สำหรับตัวเลขประมาณการอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย (GDP) ในปีนี้นั้น นายสุพันธ์ คาดว่า GDP ติดลบแน่นอน แต่ยังไม่มีการพิจารณาปรับในเดือนนี้ เพื่อรอประเมินผลกระทบจากมาตรการต่างๆ ที่มีมติครม.ออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยจะพิจารณาปรับ GDP ในเดือนหน้า

- รัฐบาลยกวิกฤตโควิด-19 เป็นวาระแห่งชาติ ครม.จัดเต็ม เคาะ พ.ร.บ.โอนงบดึงเข้างบกลาง 8 หมื่น-1 แสนล้านพร้อมออก พ.ร.ก.3 ฉบับ รวม 1.9 ล้านล้านบาท ทั้งออก พ.ร.ก.กู้เงินฯ 1 ล้านล้านบาท เพื่อดูแลเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ และ พ.ร.ก.อีก 2 ฉบับ ให้อำนาจ ธปท.ปล่อยซอฟต์โลน และเข้าไปซื้อตราสารหนี้เอกชน วงเงินรวม 9 แสนล้านบาท

- ฟิทช์ เรทติ้งส์ เปิดเผยว่า ได้ประกาศลดอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาว ของธนาคารกรุงเทพสู่ระดับทริปเปิ้ลบี จากทริปเปิ้ลบีบวก และปรับลดอันดับเครดิตสากลของหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ เป็นทริปเปิ้ล บีจากทริปเปิ้ลบีบวก และลดอันดับเครดิตของหุ้นกู้ด้อยสิทธิ เป็นดับเบิ้ลบีบวกจากทริปเปิ้ลบี โดยฟิทช์ฯ มองว่าธนาคารกรุงเทพมีความท้าทายจากผลกระทบต่อเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาด

ของโควิด-19 ที่กระจายในวงกว้าง อาจได้รับผลกระทบอย่างมากในช่วงระยะเวลา 2 ปีข้างหน้า และฐานะเงินกองทุนอ่อนแอลงหลังเข้าซื้อกิจการธนาคารเพอร์มาตาในอินโดนีเซีย อาจเจอความเสี่ยงของกำไรที่มากขึ้น

- ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยหลังเข้ารับตำแหน่งซีอีโอคนใหม่ ว่า ธนาคารอยู่ระหว่างรวบรวมข้อมูลผลกระทบต่าง ๆ โดยจะมีการทบทวนแผนธุรกิจและเป้าหมายการเงินปี 63 ใหม่หลังจากเห็นผลประกอบการของไตรมาสแรกแล้วเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงนี้และอนาคต โดยเป้าหมายทางการเงินใหม่อยู่ภายใต้การประเมินจากศูนย์วิจัยกสิกรไทยว่า

โควิด-19 จะจบในไตรมาส 2 นี้ คาดเศรษฐกิจไทยปีนี้จะติดลบ 5%

- รองผู้อำนวยการ รักษาการแทนผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยว่าจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการเอสเอ็มอีทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยผลกระทบทางตรงเกิดขึ้นกับกลไกสำคัญของธุรกิจการท่องเที่ยว ต่อเนื่องไปถึงธุรกิจรายย่อยทั้งหมด ส่วนผลกระทบทางอ้อมมาจากผู้บริโภคระมัดระวังลดการจับจ่ายใช้สอยและหันไปซื้อสินค้าผ่านออนไลน์แทน

อ้างอิงจากสำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย

- ราคาหุ้น บริษัท การบินไทยจำกัด (มหาชน) หรือ THAI ว่า ณ เวลา 10.11 น. อยู่ที่ระดับ 4.84 บาท เพิ่มขึ้น 0.62 บาท หรือ 14.69% (ซิลลิ่ง) มูลค่าการซื้อขาย 6.51 ล้านบาท

ราคาหุ้นการบินไทยปรับตัวทำซิลลิ่งเป็นวันที่ 2 หลังจากมีกระแสข่าวจาก THAI ว่า มี 3 แนวทางในการฟื้นฟูธุรกิจ ทั้งกู้เงิน - เพิ่มทุน และหาผู้ร่วมทุนรายใหม่ แทนกองทุนวายุภักษ์ รวมถึงการทบทวนว่าจะยังคงสถานะเป็นรัฐวิสาหกิจอยู่ต่อหรือไม่ ขณะที่มีกระแสข่าวลืออีกหนึ่งช่องทาง ว่าจะมีกลุ่มเจ้าสัวของไทยเข้ามาถือหุ้นเพื่อฟื้นฟูกิจการ ลักษณะธุรกิจของ THAI เป็นสายการบินแห่งชาติที่ดำเนินธุรกิจกิจการการบินพาณิชย์ทั้งเส้นทางบินระหว่างประเทศและภายในประเทศโดยแยกการบริหารออกเป็นธุรกิจหลัก คือ ธุรกิจสายการบิน และกลุ่มกิจการสนับสนุนการบินและการขนส่ง

- ราคาหุ้น บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ INTUCH ร่วง 2.12% มาที่ 46.25 บาท ลดลง 1.00 บาท เมื่อเวลา 11.22 น. มูลค่าการซื้อขาย 2,573.11 ล้านบาท

พบรายการบิ๊กล็อตหุ้น INTUCH จำนวน 12 รายการ จำนวน 37,015,000 หุ้น มูลค่าซื้อขาย 1,670.11 ล้านบาท ซื้อขายในราคาเฉลี่ยหุ้นละ 45.12 บาท และ INTUCH-F 1 รายการ จำนวน 98,185,000 หุ้น มูลค่าซื้อขาย 4,430.11ล้านบาท รวม 6,100 ล้านบาท เทรดต่ำกว่ากระดาน

ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ 5 อันดับแรกของ INTUCH เมื่อวันที่ 26 ก.พ.63

1.SINGTEL GLOBAL INVESTMENT PTE. LTD. ถือหุ้น 673,348,264 หุ้น (21.00%)

2.บริษัท Thai NVDR Company Limited ถือหุ้น 585,753,057 หุ้น (18.27%)

3.THE HONGKONG AND SHANGHAI BANKING CORPORATION LIMITED ถือหุ้น 301,953,460 หุ้น (9.42%)

4.SOUTH EAST ASIA UK (TYPE C) NOMINEES LIMITED ถือหุ้น 90,562,749 หุ้น (2.82%)

5.สำนักงานประกันสังคม ถือหุ้น 42,600,100 หุ้น (1.33%)

บล.โนมูระ พัฒนสิน : INTUCH แนะนำ"BUY" ราคาเป้าหมาย 68.0 บาท

คาดราคาหุ้น INTUCH วันนี้จะตอบสนองเชิงลบเล็กน้อยต่อข่าวการเตรียมขายหุ้นของ Temasek เพราะราคา INTUCH ที่จะขายตาม bloomberg มีส่วนลดจากราคาปิดวานนี้ราว -2-4.5% ในขณะที่หากอิงจากโครงสร้างผู้ถือหุ้นล่าสุด (26 ก.พ.20) Temasek ถือหุ้น INTUCH อยู่ที่ 302.0 ล้านหุ้น คิดเป็น 9.42%ของทุนชำระแล้ว ดังนั้น ภายหลังธุรกรรมครั้งนี้ เราประเมินTemasek จะถือหุ้นเหลือ 166.8 ล้านหุ้น คิดเป็น 5.20% อย่างไรก็ตาม SINGTEL ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับแรกที่ 21%ของทุนชำระแล้ว

อ้างอิงจากสำนักข่าวกรุงเทพธุรกิจ

- เมื่อวันที่ 8 เม.ย. 63 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) แถลงข่าว สถานการณ์แพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ประจำวันนี้ ว่า ประเทศไทยพบจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 111 ราย รวมยอดสะสม 2,369 ราย ใน 67 จังหวัด เสียชีวิตเพิ่ม 3 ราย รวมผู้เสียชีวิตสะสม 30 ราย รักษาหายกลับบ้านเพิ่ม 64 ราย รวมเป็น 888 ราย

นายแพทย์ทวีศิลป์ กล่าวต่อไปว่า สำหรับผู้เสียชีวิตเพิ่ม 3 ราย รายที่ 1 เป็นชายชาวรัฐเซีย อายุ 48 ประวัติเดินทางไปภูเก็ต เริ่มป่วยในวันที่ 18-21 มีนาคม เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งในวันที่ 25 มีนาคม ด้วยอาการ ไอ เจ็บคอ แต่ไม่แอดมิท เสียชีวิตเมื่อวันที่ 5 เมษายน

รายที่ 2 เป็นชายชาวอินเดียอายุ 69 ปี ธุรกิจส่วนตัว ประวัติมีโรคประจำตัว เบาหวาน หัวใจ 17 มีนาคม เริ่มป่วย เข้ารักษาใน รพ.เอกชน ในกทม. 21 มีนาคม มีไข้ ปวดกล้ามเนื้อ ถ่ายเหลว ย้ายเข้าไอซียู และถูกส่งตัวไปยัง รพ.เอกชนแห่งหนึ่งเมื่อวันที่ 29 มีนาคม ต่อมาอาการไม่ดีขึ้น และเสียชีวิต 7 เมษายน

รายที่ 3 เป็นชายชาวอเมริกัน อายุ 69 ปี มีโรคไตเรื้อรัง 9 มีนาคม เริ่มป่วย ไอ ปวดกล้ามเนื้อ หายใจลำบาก รักษาใน รพ. แห่งหนึ่ง ในจ.บุรีรัมย์ 23 มีนาคม ใส่ท่อช่วยหายใจ และเสียชีวิตในวันที่ 7 เมษายน

บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com