• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคค่ำ) ประจำวันที่ 2 เมษายน 2563

    2 เมษายน 2563 | Economic News

สถานการณ์การระบาดของไวรัสโคโรนา

-จำนวนผู้ติดเชื้อทั่วโลกล่าสุดอยู่ที่ 937,130 ราย

-จำนวนผู้เสียชีวิตทั่วโลกล่าสุดอยู่ที่ 47,267 ราย

-จำนวนประเทศติดเชื้อทั่วโลกล่าสุดอยู่ที่ 203 ประเทศ และติดเชื้อบนเรือสำราญ 2 ลำ ได้แก่ Diamond Princess และล่าสุด Holland America’s MS Zaandam

-จำนวนผู้ติดเชื้อในสหรัฐฯอยู่ลำดับที่ 1 ของโลก ล่าสุดมีผู้ติดเชื้อรวมอยู่ที่ 215,344 ราย (+341) และมีผู้เสียชีวิตรวม 5,112 ราย (+10)

-จำนวนผู้ติดเชื้อในอิตาลีเพิ่มขึ้นแตะระดับ 115,574 ราย ขณะที่ผู้เสียชีวิตรวมแล้วทั้งสิ้น 13,155 ราย

-จำนวนผู้ติดเชื้อในไทยล่าสุดเพิ่มอีก 104 ราย รวมผู้ติดเชื้อสะสมอยู่ที่ 1,875 ราย และมีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 3 ราย รวมสะสม 15 ราย


- องค์กรอนามัยโลกกังวล ยอดผู้ติดเชื้ออาจแตะ 1 ล้านเร็วๆนี้

ประธานองค์กรอนามัยโลกแสดงความกังวลต่อสถานการณ์การระบาดของไวรัสโคโรนาที่ระบาดออกไปกว่า 205 ประเทศและพื้นที่ทั่วโลก

โดยระบุว่าในช่วง 5 สัปดาห์ที่ผ่านมาจะเห็นได้ถึงอัตราการระบาดของไวรัสที่ปรับตัวขึ้นอย่างมาก ขณะที่จำนวนผู้เสียชีวิตก็เพิ่มเป็นเท่าตัวภายในไม่กี่สัปดาห์ และมีความเป็นไปได้ที่จะเห็นจำนวนผู้ติดเชื้อทั่วโลกรวมกันมากกว่า 1 ล้านรายและเสียชีวิตอีกกว่า 50,000 ราย ในอีกไม่กี่วัน

ทั้งนี้ ทางองค์กรอนามัยโลก ร่วมกับธนาคารโลกและองค์กร IMF กำลังดำเนินงานร่วมกันเพื่อออกมาตรการช่วยเหลือทางด้านหนี้สินให้กับประเทศกำลังพัฒนาที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัสทั้งทางเศรษฐกิจและทางสังคม


- สำนักงานวิทยาศาสตร์ประจำชาติออสเตรเลียประกาศเริ่มต้นกระบวนการทดสอบวัคซีนสำหรับ COVID-19 ในขั้นแรก ขณะที่ผู้บริหารของสำนักงานระบุว่ากระบวนการทดสอบในขั้นแรกจะใช้เวลาประมาณ 3 เดือน และถึงแม้จะประสบความสำเร็จ วัคซีนก็จะยังไม่สามารถออกสู่สาธารณะได้ภายในช่วงปลายปีหน้า


- องค์กรอนามัยโลกคาดการณ์ว่าการระบาดของไวรัสโคโรนาในมาเลเซียจะทำระดับสูงสุดภายในช่วงกลางเดือน เม.ย. หลังจากนั้นอัตราการติดเชื้อในประเทศจะเริ่มชะลอตัวลง


· ค่าเงินดอลลาร์ยังเคลื่อนไหวในแดนแข็งค่าท่ามกลางแรงเข้าซื้อในฐานะ Safe-haven เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ไวรัสโคโรนาที่กดดันการค้าขายทั่วโลก

ดัชนีดอลลาร์ทรงตัวแถว 99.588 จุด หลังจากเมื่อคืนแข็งค่าขึ้นมา 0.53% ซึ่งค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินส่วนใหญ่ในตลาด

ด้านค่าเงินยูโรวันนี้อ่อนค่า 0.2% แถว 1.0924 ดอลลาร์/ยูโร หลังจากเมื่อคืนอ่อนค่าลง 0.99% ขณะที่ค่าเงินปอนด์แข็งค่า0.2% แถว 1.2382 ดอลลาร์/ปอนด์ หลังจากเมื่อคืนอ่อนค่าลง 0.4%

ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียทรงตัวแถว 0.6080 ดอลลาร์ หลังจากเมื่อคืนอ่อนค่า 0.99%

ค่าเงินดอลลาร์รีบาวน์ 0.3% เมื่อเทียบกับเงินเยนแถว 107.15 เยน/ดอลลาร์ หลังลงไปทำระดับต่ำสุดในรอบ 2 สัปดาห์ที่ 106.925 เยน/ดอลลาร์เมื่อวานนี้

นักวิเคราะห์จาก MUFG Union Bank ระบุว่าตลาดเกิดความตื่นตระหนกหลังจากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวว่าสถานการณ์ไวรัสในสหรัฐฯอาจเลวร้ายลงในอีก 2 สัปดาห์ข้างหน้า ซึ่งเป็นถ้อยแถลงจากประธานาธิบดีที่ค่อนข้างมองโลกในแง่บวก ทำให้ตลาดกังวลกับสถานการณ์เป็นอย่างมาก


· จับตาจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานสหรัฐฯ คืนนี้



ตลาดจะจับตาการประกาศจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานสหรัฐฯรายสัปดาห์ที่ประกาศในคืนนี้เวลา 19.30 น. ตามเวลาประเทศ โดยคาดว่าจะมีจำนวนคนว่างงานเพิ่มขึ้น 3.5 ล้านราย จากเมื่อสัปดาห์ก่อนที่ประกาศออกมา 3.283 ล้านราย ซึ่งนักวิเคราะห์ค่อนข้างที่จะมีกระแสคาดการณ์แตกต่างกันออกไปตั้งแต่ระดับ 1.5 ล้านราย ไปจนถึง 5.250 ล้านราย ขณะที่ค่าเฉลี่ยราย 4 สัปดาห์ขยับขึ้นมาเป็น 998,250 รายเมื่อสัปดาห์ก่อน ส่วนการขอสวัสดิการว่างงานแบบระยะยาวน่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 4.882 ล้านรายจากเดิม 1.803 ราย

สำหรับผลกระทบที่แท้จริงต่อเศรษฐกิจ จะขึ้นอยู่กับว่าการระบาดของไวรัสจะยืดเยื้อออกไปเป็นระยะเวลานานแค่ไหน โดยหากการระบาดยืดเยื้อออกไปนานอาจมีธุรกิจที่ต้องปิดตัวลงมากขึ้น เมื่อนั้นจำนวนคนว่างงานเหล่านี้ก็จะกลายการว่างงานแบบถาวร


· ผู้บริหาร Trip.com เว็บไซท์ด้านการท่องเที่ยวที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีน คาดการณ์ว่าการท่องเที่ยวในประเทศจีนจะเริ่มฟื้นตัวกลับมาสู่ระดับปกติได้ภายในเมื่อไม่กี่เดือน


· กระทรวงพลังงานสหรัฐฯเรียกร้องให้ซาอุดิอาระเบียเร่งฟื้นสมดุลให้กับตลาดน้ำมัน หลังจากที่ซาอุฯรายงานปริมาณสต๊อกน้ำมันดิบพุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์มากกว่า 12 ล้านบาร์เรล/วัน ท่ามกลางภาวะที่ปริมาณอุปสงค์น้ำมันทั่วโลกกำลังตกต่ำจากผลกระทบของไวรัส


· รัฐบาลจีนประกาศผ่อนคลายข้อจำกัดในการเข้าซื้อรถยนต์ในบางพื้นที่ของประเทศ รวมถึงมาตรการเลิกใช้รถยนต์เก่า เพื่อช่วยกระตุ้นยอดขายรถยนต์ใหม่ หลังจากที่ยอดขายรถยนต์ในเดือน ก.พ. ปรับลดลงไปถึง 79% และยังมีคาดการณ์ว่ายอดขายจะปรับลดลงได้อีก 10% ภายในครึ่งแรกของปีนี้


· ราคาน้ำมันต้องปรับลงต่ำ 10 เหรียญ/บาร์เรล เพื่อปรับสมดุลตลาด

นักวิเคราะห์จาก Morgan Stanley ระบุว่าราคาน้ำมัน WTI อาจจำเป็นต้องปรับตัวลงต่ำกว่าระดับ 10 เหรียญ/บาร์เรล เพื่อปรับสมดุลให้กับตลาดที่กำลังอยู่ในภาวะอุปทานล้นตลาด แต่อุปสงค์กลับอ่อนแอลงอย่างมาก

โดยราคาน้ำมัน WTI ปรับลดลงมากกว่า 65% ในไตรมาสที่ 1/2020 เนื่องจากผลกระทบของไวรัสโคโรนาที่กดดันปริมาณอุปสงค์ในตลาดโลก เนื่องจากสายการบินต่างๆจำเป็นต้องปิดเส้นทางบินเพื่อชะลอการระบาด ซึ่งนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองว่าภาวะอ่อนแอของเศรษฐกิจน่าจะคงอยู่ต่อไปตลอดทั้งปีนี้

ดังนั้น ฝั่งอุปสงค์ในน้ำมันจึงยังอยู่ในระดับอ่อนแอ ตลาดจึงมีความเห็นไปในทางเดียวกันว่าการที่จะแก้ไขปัญหาอุปทานล้นตลาดได้ ราคาน้ำมันต้องร่วงต่ำกว่า 10 เหรียญ/บาร์เรล เพื่อให้เกิดแรงเข้าซื้อน้ำมันและปรับปริมาณอุปทานให้กลับมามีสมดุลอีกครั้ง


· ราคาสัญญาน้ำมันดิบปรับสูงขึ้นกว่า 10% หลังประธานาธิบดีสหรัฐฯแสดงความหวังว่าซาอุดิอาระเบียและรัสเซียจะสามารถหาข้อตกลงร่วมกันและยุติความขัดแย้งด้านราคาน้ำมันได้ในเร็วๆนี้ ขณะที่นายวลาเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย เรียกร้องให้เร่งหาวิธีแก้ไขสถานการณ์ที่ยากลำบากของตลาดน้ำมัน

โดยราคาสัญญาน้ำมันดิบ Brent ปรับขึ้น 11.36% หรือ 2.81 เหรียญ แถว 27.55 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ราคาสัญญาน้ำมันดิบ WTI ปรับขึ้น 10.0% หรือ 2.03 เหรียญ แถว 22.34 เหรียญ/บาร์เรล


บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com