• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2563

    6 กุมภาพันธ์ 2563 | Economic News

· สำนักงานคณะกรรมาธิการสาธารณสุขจีน เปิดเผยรายงานประจำวันที่ 5 ก.พ. โดยระบุว่า มีผู้เสียชีวิตในประเทศจีนเพิ่ม 73 ราย ทำให้ยอดผู้เสียชีวิตล่าสุดอยู่ที่ 563 ราย ขณะที่มียอดผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น 3,694 ราย สู่ระดับ 28,018 ราย

· องค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า ไวรัสโคโรนาสายพันธ์ุใหม่ 2019 ซึ่งกำลังระบาดอย่างหนักในประเทศจีน และเริ่มแพร่ออกสู่ประเทศอื่นๆ อีก 25 ประเทศ ยังไม่เข้าองค์ประกอบการเป็น ‘Pandemic’ หรือ การระบาดทั่วโลก



ทั้งนี้ ดร. ซิลวี บริแอนด์ หัวหน้าแผนกเตรียมการรับมือโรคระบาดโลกขององค์การอนามัยโลก เผยว่า ไวรัสโคโรนาติดต่ออย่างรวดเร็วในมณฑลหูเป่ยของจีน แต่สถานการณ์ในตอนนี้ยังไม่ถึงขั้นการระบาดระดับโลก และขอชื่นชมการรับมือโรคระบาดของจีน พร้อมทั้งแสดงความหวังว่าจะสามารถกำจัดไวรัสดังกล่าวไปจากโลกได้


· ภาพรวมไวรัสโคโรนาส่งผลกระทบไปทั่วการบริการด้านการล่องเรือสำราญ, กลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ และสายการบินต่างๆ โดยทำให้ผู้โดยสารและลูกเรือนับพันต้องถูกกักกันตัวเพื่อทำการตรวจสอบ และคาดว่าการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วดังกล่าวจะส่งผลกระทบทั่วทุกสายการบิน, กลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ และบริษัทต่างๆทั่วโลก

· วุฒิสภาสหรัฐฯลงมติว่านายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ไม่ผิดทุกญัตติการขอถอดถอน จึงเป็นการยุติกระบวนการขอถอดถอนประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการ

· ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นตอบรับกับความเป็นไปได้ที่จะมียารักษาไวรัสโคโรนาที่กำลังแพร่ระบาดอยู่ในเวลานี้ที่อาจเป็นอุปสรรคสำคัญต่อภาคธุรกิจทั่วโลก ขณะที่ตลาดตอบรับกับข่าวการจ้างงานภาคเอกชนในเดือนม.ค.ออกมาดีขึ้นเกินคาด ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่มีเสถียรภาพและเฟดน่าจะยังคงดอกเบี้ยไว้ก่อน โดยเงินเยนอ่อนค่า 0.3% ไปที่ 109.79 จุด หลังจากที่ช่วงต้นไปทำอ่อนค่าแตะสูงสุดรอบ 2 สัปดาห์ที่ 109.84 เยน/ดอลลาร์ ด้านยูโรอ่อนค่าลงมา 0.4% ที่ 1.0994 ดอลลาร์/ยูโร ในขณะที่ดัชนีดอลลาร์ปิด +0.3% ที่ 98.29 จุด

· ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นมากกว่า 2% หลังจากที่สื่อรายงานว่า นักวิทยาศาสตร์ได้พัฒนายาต่อต้านเชื้อไวรัสโคโรนา ที่แพร่กระจายอย่างรวดเร็ว ซึ่งยังคงมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลก

ขณะที่องค์การอนามัยโลกกล่าวในแถลงการณ์ว่า ขณะนี้ยังไม่มีการรักษาใดๆที่มีประสิทธิภาพที่รักษาผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสตัวนี้ได้



ด้านองค์กรของประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และพันธมิตรผู้ผลิตกำลังพิจารณาปรับลดกำลังการผลิตเพิ่มเติมเพื่อตอบโต้การลดลงของอุปสงค์น้ำมันโลกที่อาจเกิดขึ้น



โดยราคาน้ำมันดิบ Brent เพิ่มขึ้น 2.6% ที่ระดับ 55.36 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI เพิ่มขึ้น 2.3% ที่ระดับ 50.75 เหรียญ/บาร์เรล



ผลสำรวจจาก Reuters ระบุว่า ราคาปรับตัวสูงขึ้นได้หลังจากที่ข้อมูลสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯปรับตัวสูงขึ้น 3.4 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์วันที่ 31 ม.ค.ที่ผ่านมา


บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com