• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2563

    5 กุมภาพันธ์ 2563 | Economic News

· สถานการณ์ไวรัสโคโรนา

สำนักงานคณะกรรมาธิการด้านสาธารณสุขจีน เผยข้อมูลล่าสุด พบผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 65 ราย โดย(เป็นผู้เสียชีวิตในมณฑลหูเป่ยที่เดียว) จึงทำให้ยอดผู้เสียชีวิตพุ่งขึ้นแตะระดับ 490 ราย ขณะที่พบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น 3,156 ราย ปัจจุบันยอดผู้ติดเชื้ออยู่ที่ 24,324 ราย

อย่างไรก็ดี มณฑลหูเป่ย ที่เป็นศูนย์กลางการแพร่ระบาดก็ยังคงมีผู้เสียชีวตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นจำนวนมากจากการแพร่ระบาดของไวรัสดังกล่าว

- นางเจเน็ต เยลเลน อดีตประธานเฟด กล่าวถึงกรณีไวรัสโคโรนาที่ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 20 ราย และมีผู้ติดเชื้อเกินกว่า 20,000 ราย พร้อมกับการแพร่ระบาดมากกว่า 24 ประเทศ ที่เพียงแต่กระทบต่อกลุ่มประชากรทั่วโลก แต่ดูจะเป็นปัจจัยเสี่ยงหลักต่อเศรษฐกิจโลกเช่นกัน แตกต่างจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสในอดีตที่ส่งผลกระทบเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ในขณะที่โคโรนาดูจะส่งผลในระยะยาว

- บรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดต่อ และนักวิทยาศาสตร์ กล่าวไปในทางเดียวกันว่า ไวรัสโคโรนาจะส่งผลให้บริษัทต่างๆปิดทำการไปทั่วประเทศจีน เนื่องจากไวรัสตัวนี้อาจเพิ่มการแพร่ระบาดได้เร็วขึ้นกว่าข้อมูลที่ได้รับในปัจจุบัน โดยจะเห็นได้ว่าในช่วงระยะเวลาจากเดือนที่แล้ว มีการจำนวนคนติดเชื้อพุ่งสูงขึ้นจาก 300 คนในวันที่ 21 ม.ค. สู่ระดับ 21,000 คนในปัจจุบัน และมีผู้เสียชีวิตแล้วประมาณ 420 ราย พร้อมๆกับที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเป็นพันๆรายในทุกๆวัน

- ภาคโรงงานในจีนต่างยังขยายเวลาปิดทำการออกไป ซึ่งดูจะส่งผลกระทบต่อกลุ่มภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ในจีน โดยผลสำรวจจาก IHS Markit คาดกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์จะมีความเสียหายประมาณ 350,000 ยูนิตในการผลิตรถยนต์ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ หากรัฐบาลท้องถิ่นจีนยังคงการปิดโรงงานอันมีสาเหตุจากไวรัสโคโรนา และหากการปิดทำการยาวนานจนถึงเดือนมี.ค. คาดว่าจะมีมูลค่าการสูญเสียการผลิตสูงถึง 1.7 ล้านยูนิตในไตรมาสแรก หรือคิดเป็น 32.3% ซึ่งลดลงมากกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ในช่วงก่อนการระบาดของไวรัส

- CNBC เผยบทสัมภาษณ์หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จาก Endo Economics โดยระบุว่า ในทางเทคนิคไวรัสโคโรนาดูจะทำให้จีนเข้าสู่ภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจได้ง่าย และการแพร่ระบาดในเวลานี้ดูจะเป็นช่วงเวลาที่ย่ำแย่เป็นอย่างมากสำหรับจีน เพราะไม่เพียงแต่การชะลอตัวของการเติบโตทางเศรษฐกิจ จีนยังต้องเผชิญกับปัญหาหนี้เสียก้อนโตอีกด้วย และคาดว่าจะสูญเสียเครดิตความเชื่อมั่นมากขึ้น จึงมีแนวโน้มว่าจะกระทบต่อจีดีพีจีนร้อยละ 20

- หัวหน้านักเศรษฐศาตร์ประจำภูมิภาคเอเชียจาก Phantheon Macroeconomics กล่าวว่า เศรษฐกิจจีนอาจชะลอตัวต่ำกว่า 2% ได้ เมื่อเทียบรายปี และบรรดาภาคธุรกิจเริ่มได้รับผลกระทบจากอุปสงค์ที่กำลังลดลง รวมทั้งการปิดทำการในหลายๆพื้นที่จากปัญหาการแพร่ระบสดขอฝไวรัสโคโรนาที่ยังคงมีผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตอย่างต่อเนื่อง

- นายแลรี่ คุดโลว์ ที่ปรึกษาระดับสูงประจำทำเนียบขาว เผยกับ Fox Business Network โดยระบุว่า การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาในจีนอาจเลื่อนการเพิ่มกำลังการส่งออกสินค้าจากสหรัฐฯไปจีนตามที่เคยระบุไว้ในข้อตกลงเฟสแรกที่จะมีผลบังคับใช้ในช่วงกลางเดือนนี้ (15 ก.พ.) เนื่องจากหลายๆโรงงานอุตสาหกรรมในจีนยังคงปิดทำการ และมีการควบคุมและจำกัดจำนวนการเดินทางเข้า-ออกในจีน แต่ทั้งหมดนี้ก็ไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานในภาคธุรกิจ

- ตลาดหุ้นอาจได้รับผลกระทบจากผลประกอบการภาคบริษัทที่เผชิญปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา โดยบริษัท Disney ถูกคาดว่าจะได้รับความเสียหายเป็นมูลค่า 175 ล้านเหรียญ หาก Disney Park ในฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้ปิดทำการในช่วง 2 เดือน และจะทำให้ผลประกอบการในไตรมาสที่ 2/2020 ได้รับผลกระทบจากการปิดสวนสนุกดิสนีย์ในเซี่ยงไฮ้ 135 ล้าน ขณะที่การปิดสวนสนุกในฮ่องกงจะกระทบผลประกอบการ 40 ล้านเหรียญ

ขณะที่บริษัท Nike ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาเช่นกัน โดยมีการปิดโรงงานผลิตไปกว่าครึ่งในจีน และอาจสร้างผลกระทบต่อผลประกอบการไตรมาสที่ 2 รวมไปถึงสัญญาณชี้นำไตรมาสที่ 3 ถัดไปของปีนี้ด้วย

· ค่าเงินเยนและสวิสฟรังก์อ่อนค่าลงติดต่อกันเป็นวันที่ 2 เมื่อเทียบกับดอลลาร์ โดยที่กลุ่มนักลงทุนมีการเข้าถือครองสินทรัพย์เสี่ยงเพิ่มมากขึ้น จากรัฐบาลจีนที่พยายามหามาตรการต่างๆมาเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา ประกอบกับมาตรการเยียวยาผลกระทบเพื่อลดปัญหาทางเศรษฐกิจ

ค่าเงินเยนอ่อนค่าอีก 0.5% ที่ 109.26 เยน/ดอลลาร์ ในขณะที่ดัชนีดอลลาร์ปรับแข็งค่าอีก 0.1% ที่ 97.922 จุด ท่ามกลางพรรคเดโมแครตที่ตำหนิการเลื่อนประชุมคอคัส (Caucus) ซี่งเป็นการประชุมของพรรครีพับลิกันและเดโมแครตร่วกันในวันที่1 ก.พ. ในการคัดเลือกตัวแทนพรรคเพื่อลงสมัครแข่งขันเลือกตั้งตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ

อย่างไรก็ดี ไม่ว่าตัวแทนพรรคเดโมแครตชัยชนะจะเป็นของนายเบอนีย์ แซนเดอร์ส หรือนางเอลิซาเบธ วอร์เรน ก็ดูจะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นและช่วยหนุนค่าเงินในสินทรัพย์ปลอดภัยได้อีกครั้ง ขณะที่ค่าเงินยูโรร่วงลง 0.1% ที่ 1.1040 ดอลลาร์/ยูโร

ค่าเงินหยวนแข็งค่าขึ้น 0.3% ที่ 6.9935 หยวน/ดอลลาร์

· ประธานฝ่ายการลงทุนหรือ CIO จาก Union Bancaire Privee ระบุว่า นายเบอนีย์ แซนเดอร์ส มีความเป็นไปได้สูงที่จะได้เป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตในการชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯปี 2020 และนี่อาจสร้างความเสี่ยงให้แก่ตลาดการเงินต่างๆปีนี้ได้ เนื่องจากนายแซนเดอร์ส มีแคมเปญจะเปลี่ยนแปลงนโยบายการปรับลดภาษีภาคธุรกิจของนายทรัมป์ โดยเปลี่ยนมาเป็นขึ้นภาษีภาคบริษัทจาก 21% เป็น 31% และการเพิ่มภาษีดังกล่าวหรือการสวนนโยบายปรับลดภาษีใดๆในปี 2018 ที่เคยเกิดขึ้นจะส่งผลต่อผลประกอบการภาคบริษัทรายใหญ่ๆในตลาดได้

· ยอดคำสั่งซื้อสินค้าใหม่เดือนธ.ค.ของสหรัฐฯปรับตัวขึ้นเกินคาดในรอบกว่า 1 ปีครึ่ง อันได้รับแรงหนุนจากอุปสงค์ที่แข็งแกร่งในกลุ่มเครื่องบิน แต่ภาพรวมการใช้จ่ายในภาคธุรกิจก็ยังคงอ่อนแอ จึงจำกัดการรีบาวน์ในกลุ่มภาคการผลิตบางส่วนอยู่ เพราะถึงแม้สหรัฐฯและจีนจะมีข้อตกลงการค้าเฟสแรกที่ช่วยคลายความตึงเครียด แต่ความเชื่อมั่นก็ยังคงอยู่ในภาวะชอลตัว เนื่องจากภาษีของทั้งสองประเทศที่ขึ้นระหว่างกันยังมีอยู่

ทั้งนี้ ยอดคำสั่งซื้อสินค้าใหม่เดือนธ.ค. ปรับตัวขึ้น 1.8% ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดตั้งแต่ ส.ค. ปี 2018 ขณะที่มีการปรับทบทวนข้อมูลในเดือนพ.ย.ลงแตะ 1.2%

· ราคาน้ำมันดิบปิดปรับตัวลงจากความกังวลว่าอุปสงค์น้ำมันจะได้รับผลกระทบในระยะยาวจากกรณีไวรัสโคโรนาที่กำลังแพร่ระบาด จึงบดบังมุมมองเชิงบวกจากโอกาสที่กลุ่มโอเปกและประเทศพันธมิตรจะทำการปรับลดกำลังการผลิต โดยน้ำมันดิบ Brent ปิดลดลง 44 เซนต์ ที่ 54.01 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ WTI ปิดปรับลงหลุด 50 เหรียญ/บาร์เรล เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 1 ปี โดยปิด -1% ที่ 49.61 เหรียญ/บาร์เรล 

บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com