• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคค่ำ) ประจำวันที่ 31 มกราคม 2563

    31 มกราคม 2563 | Economic News

· ค่าเงินในตลาดเอเชียเริ่มทรงตัวหลังจากที่ผันผวนตลอดทั้งสัปดาห์จากความกังวลเกี่ยวกับการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา

โดยค่าเงินนิวซีแลนด์ดอลลาร์อ่อนค่า 0.1% ทำระดับอ่อนค่าสุดในรอบ 2 เดือนที่ 0.6479 ดอลลาร์ ภาพรวมรายสัปดาห์อ่อนค่า 1.5% ขณะที่ออสเตรเลียดอลลาร์ทรงตัวแถว 0.6720 ดอลลาร์ ใกล้ระดับอ่อนค่าที่สุดในรอบ 4 เดือนภาพรวมรายสัปดาห์อ่อนค่า 1.5% เช่นกัน แต่ในภาพรวมรายเดือน ออสเตรเลียดอลลาร์อ่อนค่าลงไปถึง 4.3%

ค่าเงินเยนทรงตัวแถว 109.06 เยน/ดอลลาร์ ขณะที่นักลงทุนยังคงจับตาดูรายงานที่เกี่ยวข้องการระบาดของเชื้อไวรัส เพื่อประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจ

ขณะที่ค่าเงินปอนด์แข็งค่าขึ้น 0.7% ทำระดับสูงสุดในรอบสัปดาห์ หลังการประชุมบีโออีเมื่อคืน ซึ่งมีมติคงอัตราดอกเบี้ย ตลาดจึงคลายความกังวลต่อโอกาสที่ทางบีโออีจะลดดอกเบี้ยลงไป แม้จะมีรายงานว่าทางบีโออีกำลังศึกษาถึงความเป็นไปได้ของการปรับลดดอกเบี้ยในอนาคต



· ค่าเงินยูโรมีแนวโน้มอ่อนค่าลงมากที่สุดในรอบ 6 เดือน

ในช่วงสายวันนี้ ค่าเงินยูโรเคลื่อนไหวแถวระดับ 1.1025 ดอลลาร์/ยูโร คิดเป็น -1.76% จากระดับเปิดตลาดเดือน ม.ค. ที่ 1.1222 ดอลลาร์/ยูโร จึงทำให้ค่าเงินยูโรมีแนวโน้มที่จะปิดตลาดเดือนนี้อ่อนค่าลงมากที่สุดนับตั้งแต่เดือน ก.ค. ปี 2019 ที่ค่าเงินอ่อนค่าลงไป 2.58%


· รัฐบาลสหรัฐฯประกาศเตือนไม่ให้ประชาชนเดินทางไปยังประเทศจีน ท่ามกลางยอดผู้เสียชีวิตจากเชื้อไวรัสโคโรนาในประเทศจีนที่เพิ่มขึ้นมาเป็น 213 ราย และทางองค์กรอนามัยโลกได้ประกาศให้เป็นภาวะฉุกเฉินด้านสุขภาพระดับโลก

ทางกระทรวงการต่างประเทศแห่งสหรัฐฯ ได้ยกระดับความอันตรายสำหรับการเดินทางไปยังประเทศจีนช่วงนี้ ขึ้นมาเป็นระดับเดียวกับอิรักและอัฟกานิสถาน



· นางคริสตาลินา จอร์เจียวา ประธานองค์กร IMF ระบุว่า ยังเร็วเกินไปที่จะสามารถประเมินผลกระทบจากการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาที่มีต่อเศรษฐกิจจีนไปมากกว่าไตรมาสแรกของปีนี้ได้

แต่ผลกระทบที่เห็นได้ชัดแล้ว คือในส่วนของภาคการท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมในประเทศจีนที่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก รวมถึงบรรดาประเทศในภูมิภาคเอเชียที่เริ่มได้รับผลกระทบบ้างเป็นบางส่วน ซึ่งนั่นยังคงเป็นมุมมองเฉพาะในไตรมาสแรกเท่านั้น ยังไม่สามารถคำตอบที่ชัดเจนสำหรับไตรมาสที่เหลือได้



· รายงานจาก The Times ระบุว่า นายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ต้องการให้ข้อตกลงหลังการถอนตัวออกจากอียู เป็นแบบ Canada-style แต่ยังไม่มีรายงานใดที่ยืนยันถึงการดำเนินการเช่นนั้น ขณะที่ตลาดยังคงเผชิญแรงกดดันจากโคโรนาไวรัส หลังองค์กรอนามัยโลกประกาศให้เป็นภาวะฉุกเฉินระดับโลก

ทั้งนี้ นายบอริสมีกำหนดการจะกล่าวถ้อยแถลงภายในวันศุกร์นี้ เกี่ยวกับการถอนตัวออกจากอียู แม้จะไม่มีการคาดการณ์ว่านายกฯอังกฤษจะมีประกาศสำคัญใดที่เกี่ยวกับข้อตกลงการค้า แต่ตลาดก็จะให้ความสนใจไปยังถ้อยแถลงดังกล่าว



· อังกฤษมีกำหนดการจะเข้าสู่สถานะ “ถอนตัว” ออกจากอียูภายในคืนนี้ หลังจากที่เป็นสมาชิกมาร่วม 47 ปี จึงนับเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์การเมืองของยุโรป

การเข้าสู่สถานะ “ถอนตัว” ของอังกฤษหมายความว่าอังกฤษจะยังคงอยู่ในตลาด (Single market) ร่วมกับอียู และอังกฤษจะเริ่มกระบวนการเจรจาเพื่อหาข้อตกลงการค้าร่วมกับอียูให้ได้ภายในช่วงเวลาที่กำหนด โดยทางอังกฤษกำหนดเดดไลน์ไว้ที่สิ้นปี 2020 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่หลายๆฝ่ายมองว่า “ยาก” ที่จะสามารถเจรจาข้อตกลงได้ทัน

ในกรณีที่อังกฤษไม่สามารถเจรจากับอียูได้สำเร็จภายในระยะเวลาที่ขีดไว้ อังกฤษจะยอมรับการถอนตัวออกแบบ No deal และกลับไปใช้กฏหมายทางการค้าของ WTO ซึ่งจะทำให้เกิดเป็นกำแพงทางการค้าขึ้นระหว่างอังกฤษกับอียู สร้างความเสียหายแก่เศรษฐกิจของทั้ง 2 ฝ่าย



· นักวิเคราะห์จากสถาบัน State Street มีมุมมองว่า ดูเหมือนตลาดจะลืมคำนึงถึงความเสี่ยงที่การเจรจาหาข้อตกลงทางการค้าระหว่างอังกฤษและอียูอาจจบลงอย่างไม่สวย หรือไม่มีความแตกต่างกับกฏหมายทางการค้าของ WTO มากนัก ซึ่งหากตลาดเริ่มตระหนักถึงความเสี่ยงดังกล่าว ก็มีโอกาสที่จะเห็นค่าเงินปอนด์อ่อนค่าลงไปสู่ระดับ 1.20 ปอนด์/ดอลลาร์ จากระดับปัจจุบันที่ราวๆ 1.30 ปอนด์/ดอลลาร์ และผลลัพธ์ของมันก็อาจจะไม่แตกต่างอะไรกัน No-deal Brexit



· ราคาน้ำมันเริ่มฟื้นตัวหลังปรับร่วงลงตลอดสัปดาห์ จากการที่องค์กรอนามัยโลก แม้จะประกาศภาวะฉุกเฉิน แต่ไม่แนะนำให้ปิดกั้นการเดินทางเข้า-ออกประเทศจีน รวมทั้งแสดงความเชื่อมั่นว่ารัฐบาลจีนสามารถควบคุมการระบาดของเชื้อไวรัสได้

ราคาน้ำมันในภาพรวมรายสัปดาห์ปรับลงเกือบ 4% ทำระดับต่ำสุดในรอบ 3 เดือน ก่อนรีบาวน์ขึ้นในวันนี้หลังนักลงทุนเริ่มคลายความกังวลเกี่ยวกับระบาดของเชื้อไวรัสลงไปบางส่วน

ราคาสัญญาน้ำมันดิบ Brent ปรับสูงขึ้น 68 เซ็นต์ แถว 58.97 เหรียญ/บาร์เรล หลังปรับลง 2.5% ในช่วงก่อนหน้า ส่วนภาพรวมรายสัปดาห์ปรับลง 2.8%

ราคาสัญญาน้ำมันดิบ WTI ปรับสูงขึ้น 70 เซ็นต์ แถว 52.84 เหรียญ/บาร์เรล หลังปรับลง 2.2% ในช่วงก่อนหน้า ส่วนภาพรวมรายสัปดาห์ปรับลง 2.5%


บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com