• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคค่ำ) ประจำวันที่ 30 มกราคม 2563

    30 มกราคม 2563 | Economic News

สถานการณ์ไวรัสโคโรนา


· ยอดผู้เสียชีวิตจากไวรัสโคโรนาเพิ่มเป็น 170 ราย

รายงานล่าสุดจาก Reuters อ้างอิงตัวเลขที่ทางคณะกรรมการด้านสุขภาพประจำประเทศจีนเปิดเผยออกมา โดยระบุว่าจำนวนผู้เสียชีวิตจากเชื้อไวรัสโคโรนาเพื่อเป็น 170 ราย และจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มเป็น 7,711 ราย



· สหรัฐฯยันไม่ลดภาษีจีน แม้จีนกำลังเผชิญปัญหาไวรัสระบาด

นายปีเตอร์ นาวาโร ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจประจำทำเนียว ยืนยันว่าสหรัฐฯจะไม่ยกเลิกการขึ้นภาษีกับจีน แม้จีนกำลังเผชิญปัญหาการระบาดของเชื้อไวรัสและกดดันการเติบโตของเศรษฐกิจก็ตาม

สำหรับเงื่อนไขที่สหรัฐฯจะยอมยกเลิกภาษีจีน นายนาวาโรระบุว่าจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อสามารถหาข้อตกลงในเฟสที่สองร่วมกันได้เท่านั้น ซึ่งการตัดสินใจคงการขึ้นภาษีเอาไว้ในข้อตกลงเฟสแรก ก็เพื่อกระตุ้นให้จีนดำเนินการอะไรสักอย่างกับการเอาเปรียบทางการค้า และเพื่อให้มั่นใจได้ว่าพวกเขาจะกลับมาเจรจากับสหรัฐฯในเฟสที่สอง



· เกิดเหตุประท้วงขึ้นในเกาหลีใต้ จากประชาชนที่ไม่พึงพอใจต่อมาตรการดูแลผู้อพยพจากเมืองอู่ฮั่น ซึ่งทางรัฐบาลระบุว่าจะกักตัวชาวเกาหลีใต้ผู้อพยพออกมาจากเมืองอู่ฮั่นเป็นเวลาอย่างน้อย 2 สัปดาห์ เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีการติดเชื้อ

ประชาชนที่ไม่พึงพอใจต่อมาตรการดังกล่าว ได้นำรถแทรกเตอร์มาปิดล้อมสถานที่กักกันทั้ง 2 แห่งที่ตั้งอยู่ในเมืองอาซานและเมืองเมืองจินชอน ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากกรุงโซลออกไปประมาณ 80 กิโลเมตร

ทางด้านนายมุน แจ-อิน ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ได้ออกมากล่าวเรียกร้องให้ทุกฝ่ายอยู่ในความสงบ ในขณะที่รัฐบาลกำลังดำเนินแผนอพยพชาวเกาหลีใต้ที่ยังตกค้างอยู่ในเมืองอู่ฮั่นออกมา



· ผู้เชี่ยวชาญเตือน ผลกระทบจาก “ไวรัสโคโรนา” อาจรุนแรงยิ่งกว่า “ซาร์ส”

ผู้เชี่ยวชาญจาก Oxford Economics ระบุว่า จำนวนผู้ติดเชื้อจากไวรัสโคโรนา เฉพาะในประเทศจีน มีมากกว่า 5,000 รายภายในเวลาเพียง 1 เดือน ซึ่งเป็นตัวเลขทที่โรค “ซาร์ส” ทำได้ภายใน 6 เดือน ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้สูงที่ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับเศรษฐกิจครั้งนี้จะมีความรุนแรงยิ่งกว่าซาร์ส และถึงแม้รัฐบาลจะสามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้ แต่อย่างน้อยๆ ผลกระทบของมันก็จะรุนแรงเทียบเท่ากับซาร์สในปี 2003 ไปแล้ว



· ค่าเงินดอลลาร์ทรงตัวใกล้ระดับสูงสุดในรอบ 2 เดือน เมื่อเทียบกับสกุลเงินส่วนใหญ่ ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียและหยวนเผชิญแรงกดดัน เนื่องจากนักลงทุนเลี่ยงการถือครองสินทรัพย์เสี่ยง จากความกังวลเกี่ยวกับการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา

การประชุมเฟดเมื่อคืนนี้ มีมติคงอัตราดอกเบี้ยตามคาด พร้อมระบุว่าการระบาดของเชื้อไวรัสถือเป็นปัจจัยเสี่ยงที่อาจสร้างความไม่แน่นอนให้กับภาพรวมเศรษฐกิจได้

ดัชนีดอลลาร์ทรงตัวแถว 98.033 จุด หลังทำระดับสูงสุดในรอบ 2 เดือนไปเมื่อวานนี้ ที่ 98.026 จุด สำหรับภาพรวมรายเดือน ดัชนีปรับแข็งค่าขึ้นได้ 1.6% จึงถือเป็นค่าเงินที่มีผลประกอบการดีที่สุดในกลุ่มค่าเงิน G10

ค่าเงินเยนแข็งค่า 0.1% เมื่อเทียบกับดอลลาร์แถว 108.90 เยน/ดอลลาร์ ใกล้ระดับแข็งค่าที่สุดในรอบ 3 เดือนที่ 108.73 เยน/ดอลลาร์ ในภาพรวมรายเดือน แข็งค่าได้ 0.3% เมื่อเทียบกับดอลลาร์ 1.6% เมื่อเทียบกับยูโร และ 3.9% เมื่อเทียบกับดอลลาร์ออสเตรเลีย



· นักวิเคราะห์จากธนาคาร MUFG มีมุมมองว่า แม้ผลกระทบจากการระบาดของเชื้อไวรัสที่มีต่อภาพรวมเศรษฐกิจโลกจะยังไม่เป็นที่แน่ชัด แต่ที่แน่นอนแล้วคือการที่เศรษฐกิจจีนจะชะลอการเติบโตลงอย่างแน่นอน

ค่าเงินยูโรทรงตัวแถว 1.1009 ดอลลาร์/ยูโร ใกล้ระดับต่ำสุดในรอบ 2 เดือนที่ 1.0992 ดอลลาร์/ยูโร

ค่าเงินหยวนอ่อนค่า แถว 6.9730 หยวน/ดอลลาร์ ใกล้ระดับอ่อนค่าที่สุดในรอบ 1 เดือนที่ 6.990 หยวน/ดอลลาร์ ขณะที่ตลาดจีนยังคงปิดทำการในเทศกาลตรุษจีน



· FX Street EUR/USD Forecast: ค่าเงินยูโรยังเผชิญแรงกดดันหลังการประชุมเฟด



ค่าเงินยูโรเคลื่อนไหวในแดนลบแถวระดับ 1.1010 ยูโร/ดอลลาร์ โดยในกราฟราย 4 ช.ม. จะเห็นได้ว่าค่าเงินเคลื่อนไหวต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ยส่วนใหญ่ และมีแนวต้านระยะสั้นเป็นเส้นค่าเฉลี่ยราย 20 วัน ขณะที่สัญญาณชี้วัด Momentum ปรับลงจากระดับกลางมาสู่แดนลบ ส่วน RSI ทรงตัวแบบสะสมพลังใกล้ระดับ 30 จุด เมื่อพิจารณาตามสัญญาณทางเทคนิคที่ยกมา ค่าเงินจึงมีแนวโน้มที่จะย่อตัวลงต่ำกว่า 1.0980 ยูโร/ดอลลาร์ ซึ่งเป็นแนวรับระยะสั้น

แนวรับ: 1.0980 1.0950 1.0910

แนวต้าน: 1.1030 1.1065 1.1100



· คาดเศรษฐกิจสหรัฐฯไตรมาส 4 ขยายตัวได้ แต่ยังต่ำกว่าเป้าหมายทรัมป์



เศรษฐกิจสหรัฐฯในไตรมาสที่ 4/2019 มีแนวโน้มที่จะขยายตัวได้ด้วยอัตราปานกลาง แต่ยังคงไม่สามารถเติบโตตามเป้าหมายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ตั้งไว้สำหรับอัตราเติบโตรายปีที่ 3% ได้ เนื่องจากปริมาณการลงทุนในภาคธุรกิจที่ชะลอตัวลงจากสงครามการค้า

การประกาศยอด GDP ไตรมาสที่ 4/2019 ของสหรัฐฯในคืนนี้ มีแนวโน้มที่จะประกาศออกทรงตัวที่ระดับ 2.1% ท่ามกลางอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลง จึงกระตุ้นปริมาณการซื้อขายสินค้าในกลุ่มจักรยานยนต์ ที่อยู่อาศัย และรายใหญ่ขนาดใหญ่อื่นๆ

สำหรับอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจในภาพรวมปี 2019 มีแนวโน้มจะประกาศออกมาที่ 2.5% ซึ่งชะลอตัวจากของปี 2018 ที่ระดับ 2.9% ขณะที่นักวิเคราะห์มีมุมมองว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่จะไม่กระตุ้นให้อัตราเงินเฟ้อขยายตัวมากเกินไปอยู่ที่บริเวณ 1.8%


· ราคาน้ำมันดิบปรับลดลงในวันนี้ เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากไวรัสอู่ฮั่นในประเทศจีน ขณะที่ข้อมูลสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯที่เพิ่มขึ้นเกินคาด ก็เป็นปัจจัยลบต่อราคา

ราคาน้ำมันดิบ Brent ปรับลดลง 95 เซนต์ หรือ 1.6% ที่ระดับ 58.86 เหรียญ/บาร์เรล หลังจากเพิ่มขึ้น 0.5% เมื่อวาน ทางด้านราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับลดลง 84 เซนต์ หรือ 1.6% ที่ระดับ 52.49 เหรียญ/บาร์เรล หลังจากที่ร่วงลง 0.3% ในช่วงก่อนหน้า


· WTI มีแนวโน้มปิดรายเดือนร่วงลงมากที่สุดตั้งแต่ พ.ค. 2019


ราคาน้ำมัน WTI ในช่วงสายวันนี้ กำลังเคลื่อนไหวแถวระดับ 53 เหรียญ/บาร์เรล ซึ่งคิดเป็น -13.58% จากระดับเปิดตลาดเดือน ม.ค. ซึ่งเป็นเดือนแรกที่ราคาปรับร่วงลงด้วยเลข 2 หลัก นับตั้งแต่เดือน พ.ค. ปี 2019 ที่ราคาปรับลดลงไป -15.91%


บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com