• สรุปข่าวตลาดหุ้น (ภาคค่ำ) ประจำวันที่ 30 มกราคม 2563

    30 มกราคม 2563 | SET News

· ตลาดหุ้นเอเชียและค่าเงินปรับตัวลดลง หลังจากจำนวนผู้เสียชีวิตฟลังจากการระบาดของไวรัสโคโรนาในประเทศจีนเพิ่มขึ้น รวมทั้งมีรายงานผู้ป่วยเพิ่มขึ้นทั่วโลก

ด้านนายเจอโรม โพเวลล์ ประธานเฟดได้ระบุว่า มีความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจครั้งใหม่เกิดขึ้น ซึ่งก็คือการระบาดของไวรัสโคโรนา โดยเฟดกำลังจับตาสถานการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิด แต่ยัง “เร็วเกินไป” ที่จะสามารถตัดสินได้ว่าจะมีผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯและเศรษฐกิจโลกเช่นไร

ขณะที่สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติของจีน เปิดเผยว่า จำนวนผู้เสียชีวิตจากไวรัสดังกล่าวเพิ่มขึ้นเป็น 170 รายเมื่อวันพุธที่ผ่านมาและจำนวนผู้ป่วยติดเชื้อเพิ่มขึ้นเป็น 7,711 ราย

รวมทั้งมีรายงานการติดเชื้อในอย่างน้อย 15 ประเทศและทุกจังหวัดของจีน โดยบริษัทได้ปิดร้านค้าทั้งหมดในประเทศจีนชั่วคราวเนื่องจากการระบาด

ทั้งนี้ ดัชนี MSCI ที่ไม่รวมตลาดหุ้นญี่ปุ่นปรับลดลง 1.7% ทำระดับต่ำสุดในรอบ 7 สัปดาห์ ซึ่งเป็นการลดลงติดต่อกัน 6 วันทำการ

· ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปรับตัวลดลง จากการที่หุ้นไต้หวันร่วงลงอย่างรวดเร็วทำให้เกิดแรงเทขายในโตเกียว ขณะที่เหล่านักลงทุนให้ความสนใจไปยังการประชุมขององค์กรอนามัยโลก (WHO) เกี่ยวกับการระบาดของไวรัสโคโรนา

โดยดัชนี Nikkei ลดลง 1.72% ที่ระดับ 22,977.75 จุด ขณะที่การขาดทุนในหุ้นญี่ปุ่นปรับร่วงลงหลังจากที่ตลาดหุ้นไต้หวันปรับลดลง 5.75% ในช่วงเปิดการซื้อขายครั้งแรกนับตั้งแต่วันหยุดเทศกาลช่วงตรุษจีน ซึ่งลดลงมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนต.ค. ปี 2018ที่ผ่านมา ซึ่งอาจเป็นแบบอย่างของหุ้นจีนว่าจะตอบสนองอย่างไรเมื่อตลาดการเงินกลับมาเปิดตัวอีกครั้งในวันที่ 3 ก.พ.ที่จะถึงนี้

· ตลาดหุ้นยุโรปเปิดปรับตัวลดลง โดยถูกกดดันจากจำนวนผู้เสียชีวิตจากการระบาดของไวรัสโคโรนาที่เพิ่มมากขึ้น รวมทั้งท่าทีของเฟดที่ตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยตามที่ตลาดคาด

โดยดัชนี Stoxx 600 ลดลงมากกว่า 0.7% ด้านหุ้นทรัพยากรลดลง 2% ท่ามกลางตลาดภูมิภาคส่วนใหญ่ที่เคลื่อนไหวในแดนลบ

อ้างอิงจากสำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย

- นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ในวันพรุ่งนี้ (31ม.ค.63) จะเสนอให้รัฐบาลพิจารณามาตรการป้องกัน ไวรัสโคโร่นา ผ่านการยกเลิก Visa on arrival เพื่อจำกัดนักท่องเที่ยวจีนที่จะเดินทางเข้ามาในประเทศไทย

ซึ่งจากการลงพื้นที่ตรวจสอบที่สนามบินเชียงใหม่เมื่อวานนี้พบว่ามีคนจีนเดินทางมาแต่ละเที่ยวบินน้อยลง 10-20 คน จาก 100-200 คน ต่อเที่ยวบิน

ด้านกรณีมีกระแสข่าวที่รัฐบาลเตรียมนำเครื่องบินพาณิชย์ไปรับคนไทยจากเมืองอู่ฮั่นในวันที่ 4 กุมภาพันธ์นี้นั้น ยังไม่เป็นความจริง เพราะไม่ได้รับการยืนยันวันเวลาและสถานที่มาแต่อย่างใด ซึ่งรัฐบาลไทยรอประสานงานกับรัฐบาลจีนแต่ทุกอย่างได้เตรียมพร้อมทั้งหมดแล้ว ทั้งแพทย์ - เวชภัณฑ์ ซึ่งหากรัฐบาลจีนอนุญาต ทางการไทยพร้อมที่จะไปรับทันที

ส่วนข่าวที่มีนักท่องเที่ยวจีน 5 ล้านคนจากอู่ฮั่นเข้ามาในไทย ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง พร้อมกับขอโซเชียลยกเลิกการแชร์ข่าวเฟกนิวส์เรื่องการแชร์ข้อมูลไวรัสโคโรนา

- ความเคลื่อนไหวราคาหุ้น บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC ร่วง 3.74% ทำราคาลดลง 8 บาท มาอยู่ที่ 207 บาท มูลค่าการซื้อขาย 967 ล้านบาท ส่วนบริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ INTUCH ร่วง 4.29% ทำราคาลดลง 2.50 บาท มาอยู่ที่ 55.75 บาท มูลค่าการซื้อขาย 296 ล้านบาท

อ้างอิงจากสำนักข่าวอินโฟเควสท์

- นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาหอการค้าไทย ในฐานะประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ประเมินผลกระทบจากปัจจัยเสี่ยงต่อภาวะเศรษฐกิจไทยในปี 63 จากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่, การแพร่ระบาดของไวรัสทำให้ความต้องการสินค้าไทยลดลง, ปัญหาภัยแล้ง, ปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 และ ความล่าช้าของงบประมาณปี 63 โดยคาดว่าจากปัจจัยเสี่ยงทั้ง 5 ด้านจะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในปีนี้ คิดเป็นมูลค่าความเสียหายราว 2.26 แสนล้านบาท หรือกระทบต่อ GDP ราว 1.3% อย่างไรก็ดี ม.หอการค้าไทยจะยังไม่ปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยในปีนี้ โดยยังคง GDP ไว้ที่ 2.8% เนื่องจากยังมีความไม่แน่นอนของแต่ละปัจจัยต่างๆ ว่าจะสามารถควบคุมสถานการณ์ไม่ให้ยืดเยื้อยาวนานไปมากกว่า 3 เดือน หรือจะต้องไม่เกินไปจากเดือนพ.ค.นี้ เพราะหากควบคุมสถานการณ์ได้เร็ว ก็จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยไม่มาก "หากสถานการณ์จบเร็ว งบประมาณเบิกจ่ายได้เร็ว การท่องเที่ยวฟื้น เศรษฐกิจไทยก็อาจจะไม่กระทบหนัก แต่อย่างไรก็ดี ยังมีโอกาสที่ GDP จะโตได้น้อยกว่า 2.5% เพียงแต่ตอนนี้เราจะยังไม่ปรับประมาณการ ขอคงไว้ที่ 2.8% ตามเดิมก่อน เพราะหลายปัจจัยยังมีความไม่แน่นอน"

อ้างอิงจากสำนักข่าวกรุงเทพธุรกิจ

- บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. เปิดเผยว่า ปี 2562 บริษัทและบริษัทย่อยมีรายได้จำนวน 6,413 ล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา หรือ เทียบเท่า 198,822 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 954 ล้านดอลลาร์ หรือ 17% เมื่อเทียบกับปี 2561 ซึ่งมีรายได้รวม 5,459 ล้านดอลลาร์ หรือเทียบเท่า 176,687 ล้านบาท

บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com