• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคค่ำ) ประจำวันที่ 29 มกราคม 2563

    29 มกราคม 2563 | Economic News

· ค่าเงินเริ่มทรงตัวในตลาดวันนี้ โดยเฉพาะค่าเงินที่เป็นสินทรัพย์เสี่ยง ขณะที่ความต้องการค่าเงินที่เป็น Safe-haven เริ่มลดน้อยลงบางส่วน ท่ามกลางตลาดที่กำลังจับตาสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา


ค่าเงินหยวนที่อ่อนค่าอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา วันนี้แข็งค่าขึ้นเล็กน้อยแถว 6.9551 หยวน/ดอลลาร์ หลังจากำระดับอ่อนค่าสุดที่ 6.9900 หยวน/ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับอ่อนค่าสุดในรอบเกือบ 1 เดือน


ค่าเงินเยนอ่อนค่าเล็กน้อยแถว 109.2 เยน/ดอลลาร์ ขณะที่ค่าเงินสวิสฟรังก์ก็อ่อนค่าเล็กน้อยแถว 0.9744 ฟรังก์/ดอลลาร์



ด้านค่าเงินยูโรทรงตัวแถว 1.1013 ดอลลาร์/ยูโร หลังทำระดับอ่อนค่าสุดที่ 1.0998 ดอลลาร์/ยูโร เมื่อคืนนี้ ภายหลังการประกาศตัวเลขความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐฯที่ออกมาสดใสได้หนุนค่าเงินดอลลาร์



ค่าเงินปอนด์ทรงตัวแถว 1.3018 ดอลลาร์/ปอนด์ หลังจากเมื่อคืนอ่อนค่าลงเนื่องจากค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าเช่นกัน



ด้านดัชนีดอลลาร์ทรงตัวใกล้ระดับสูงสุดแถว 98.027 จุด



การประชุมเฟดคืนนี้มีแนวโน้มสูงที่เฟดจะประกาศคงอัตราดอกเบี้ย แต่หากถ้อยแถลงหลังการประชุมมีการกล่าวถึงการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา ตลาดอาจมีกระแสคาดการณ์ว่าเฟดอาจมีการออกนโยบายมากระตุ้นเศรษฐกิจภายในปีนี้ได้ โดยเฉพาะหากเศรษฐกิจสหรัฐฯได้รับผลกระทบจากการระบาด



· EUR/USD Price Analysis: เกิดสัญญาณ Bullish hammer ค่าเงินอาจฟื้นตัว?

ค่าเงินยูโรก่อตัวเป็นลักษณะ Bullish hammer หลังจากที่ค่าเงินสามารถทรงตัวเหนือแนวรับทางจิตวิทยาที่ 1.10 ดอลลาร์/ยูโร และปิดตลาดเมื่อวานที่ระดับ 1.1022 ดอลลาร์/ยูโรได้


สัญญาณดังกล่าวเป็นการบ่งชี้ว่าทิศทางขาลงของค่าเงินตั้งแต่ระดับสูงสุดของวันที่ 31 ธ.ค. อาจเริ่มอ่อนกำลังลง และการกลับตัวเป็นขาขึ้นจะเริ่มมีความชัดเจนมากขึ้น หากค่าเงินฟื้นตัวขึ้นไปบริเวณ 1.1038 – 1.1050 ดอลลาร์/ยูโร


ทั้งนี้ ค่าเงินยืนยันสัญญาณ Bullish hammer ก็ต่อเมื่อค่าเงินสามารถปิดตลาดวันนี้เหนือระดับ 1.1025 ดอลลาร์/ยูโรได้ แต่ถ้าปิดต่ำกว่า 1.10 ดอลลาร์/ยูโร ทิศทางขาลงก็จะดำเนินต่อไป


· จีนอาจดำเนินการตามข้อตกลงกับสหรัฐฯไม่สำเร็จ เนื่องจากการระบาดของไวรัส

สำนักข่าว South China Morning Post รายงานมุมมองของผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับการระบาดของไวรัสโคโรนาและการดำเนินการตามข้อตกลงการค้าเฟสแรก ระหว่างสหรัฐฯและจีน


โดยระบุว่า จีนอาจไม่สามารถดำเนินการเข้าซื้อสินทรัพย์การเกษตรจากสหรัฐฯได้ตามเป้าหมายที่วางที่ระดับ 2 แสนล้านเหรียญภายในระยะเวลา 2 ปี เนื่องด้วยการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาที่กดดันให้ราคาสินค้าโภคภันฑ์พุ่งสูงขึ้น และเมืองหลายๆเมืองในประเทศจีนถูกปิดกั้น จึงมีความเป็นไปได้สูงที่จีนอาจไม่สามารถทำตามเป้าหมายเข้าซื้อได้ ซึ่งเดิมที เป้าหมายดังกล่าวก็ดูจะสามารถดำเนินการได้ยากอยู่แล้ว ยิ่งถูกทำให้ยากเข้าไปใหญ่จากการระบาดของไวรัส


ความยากลำบากในการดำเนินการตามข้อตกลง ไม่ใช่เพราะว่าเป็นปริมาณสินค้าที่มหาศาลเพียงอย่างเดียว แต่เพราะจีนจำเป็นต้องมีปรับเปลี่ยนระบบการค้าครั้งสำคัญ รวมถึงปริมาณอุปทานจากเข้าซื้อสินค้าอาจไม่สอดคล้องกับปริมาณอุปสงค์ในประเทศ ซึ่งจีนก็ได้เคยย้ำกับสหรัฐฯไว้แล้วว่า จะเข้าซื้อสินค้าให้สอดคล้องกับปริมาณอุปสงค์ในประเทศเท่านั้น

· ผลกระทบจากการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาได้เปลี่ยนเมืองมาเก๊าให้กลายเป็นเมืองร้าง ในช่วงฤดูกาลที่น่าจะเป็นช่วงที่คึกคักที่สุดของศูนย์กลางด้านการเสี่ยงโชคแห่งนี้ ท่ามกลางมาตรการควบคุมการระบาดของรัฐบาลท้องถิ่น ที่กีดกันไม่ให้นักท่องเที่ยวจากจีนแผ่นดินใหญ่สามารถเดินทางเข้ามาในเมืองได้ โดยจำนวนคนเข้าเมืองล่าสุดได้ปรับลดลงไปถึง 69% นับตั้งแต่วันศุกร์ที่ผ่านมา

· สถาบัน Peter Doherty ซึ่งเป็นสถาบันด้านโรคติดต่อและภูมิคุ้มกัน ณ กรุงเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย ประสบความสำเร็จในการเพาะพันธุ์เชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ภายในห้องแล็บนอกประเทศจีนได้เป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยให้นักวิจัยสามารถคิดค้นวัคซีนให้กับเชื้อไวรัสนี้ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งทางสถาบันก็ได้ยืนยันแล้วว่าจะแบ่งบันผลการวิจัยครั้งนี้ให้กับองค์กรอนามัยโลก รวมถึงห้องแล็บทั่วโลก

· The outbreak is spreading. Nearly 6,000 cases have been confirmed.

รายงานจาก New York Times ชี้ ผู้เสียชีวิตและติดเชื้อยังเพิ่มขึ้น โดยวันนี้รายงานล่าสุดมีผู้เสียชีวิตจำนวน 132 ราย จากระดับ 106 รายเมื่อวานนี้ ขณะที่ยอดผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเกือบ 25% แตะ 5,974 ราย โดยเพิ่มขึ้นจากเมื่อวันอังคารที่ 4,515 ราย

ขณะที่รายงานล่าสุด

ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อ 14 ราย

ฮ่องกง 8 ราย ขณะที่สหรัฐฯ, ไต้หวัน, ออสเตรเลีย และมาเก๊า อยู่ที่ 5 ราย ด้านสิงคโปร์ เกาหลีใต้ และมาเลเซีย มีรายงานการติดเชื้อ 4 ราย

ญี่ปุ่น พบ 7 ราย

ฝรั่งเศส พบ 4 ราย

แคนาดา 3 ราย

เวียดนาม 2 ราย

เนปาล, กัมพูชา และเยอรมนีมี 1 ราย

อย่างไรก็ดี สิ่งที่น่าเป็นกังวลคือ ในไต้หวัน, เยอรมนี, เวียดนาม และญี่ปุ่น ผู้ป่วยที่ติดเชื้อไม่ใช่บุคคลที่เดินทางไปยังประเทศจีนมา แต่ก็ไม่มีรายงานว่ามีการเสียชีวิตใดๆเพิ่มนอกจากพื้นที่ในประเทศจีน

· สายการบิน British Airways ประกาศยกเลิกเที่ยวบินจากจีนทั้งหมด เหตุกังวลเชื้อไวรัสโคโรนา โดยที่สำนักงานกระทรวงต่าปงระเทศอังกฤษเตือนให้ระวังหากไม่มีเหตุจำเป็นไม่ควรเดินทางไปยังจีน เนื่องจากความปลอดภัยของลูกเรือและผู้โดยสารถือเป็นสิ่งสำคัญที่สายการบินจำเป็นต้องให้ความสำคัญเป็นลำดับแรก

· บริษัทเกมมิ่งยักษ์ใหญ่ของจีนอย่าง Tencent ประกาศขยายช่วงวันหยุดในเทศกาลตรุษจีนออกไปเป็นวันที่ 9 ก.พ. สำหรับพนักงานในจีนแผ่นดินใหญ่ พร้อมระบุว่าพนักงานไม่จำเป็นต้องทำงานจากบ้านนับตั้งแต่วันที่ 3 ก.พ. จนถึงวันที่ 9 ก.พ.




· ประชุมเฟด, ผลประกอบการ Boeing และ McDonald’s: 3 ประเด็นที่ตลาดจะจับตาคืนนี้

ประชุมเฟด

เฟดจะมีการประชุมเป็นครั้งแรกของรอบทศวรรษนี้ โดยตลาดจะจับตาว่าเฟดมีมุมมองอย่างไรกับการเติบโตของเศรษฐกิจโลก และการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา และประเด็นดังกล่าวจะมีผลกระทบกับการตัดสินใจปรับดอกเบี้ยเช่นไร

ตลาดจะให้ความสำคัญไปยังถ้อยแถลงของนายเจอโรม โพเวลล์ ประธานเฟดเป็นหลัก ว่าเขาจะมีการกล่าวถึงอัตราดอกเบี้ย Repo เช่นไร เพื่อดูว่าแนวทางการปรับสมดุลของพอร์คงบดุลของเฟดจะถูกดำเนินไปในทิศทางไหน

ทั้งนี้ ทาง FedWatch tool ของ CME คาดโอกาส 87% ที่เฟดจะประกาศคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 1.50% - 1.75%



ผลประกอบการ Boeing

ตลาดจะจับตาผลประกอบการ Boeing หลังจากที่ได้ CEO คนใหม่ขึ้นมาบริหาร และยกเลิกแผนส่งคืนเครื่องบินรุ่น 737 Max และสามารถทำผลประกอบการในเดือนก่อนไปได้ 1.2 หมื่นล้านเหรียญ

สถาบัน Vertical Research Partners ลดระดับความเชื่อถือของบริษัทลงจาก Buy มาเป็น Hold พร้อมระบุว่า Boeing อาจไม่มีผลประกอบการที่เลวร้ายลงอย่างที่หลายๆฝ่ายคาดคิด



ผลประกอบการ McDonald’s

ผลประกอบการของ McDonald’s จะได้รับการประกาศออกมาในช่วงก่อนเปิดตลาดสหรัฐฯ ซึ่งทางสถาบัน KeyBanc คาดว่ามูลค่าหุ้นของ McDonald’s จะอยู่ที่ 1.99 เหรียญ/หุ้น และมีผลประกอบการที่เติบโตขึ้นได้ 5% ในไตรมาสที่ 4/2019

· การประชุมเฟดในคืนนี้ มีแนวโน้มสูงที่เฟดจะประกาศคงอัตราดอกเบี้ยไว้ ขณะที่ทางบรรดาสมาชิกเฟดมีแนวโน้มที่จะใช้โอกาสในการประชุมครั้งนี้สำหรับการหารือแนวทางการดำเนินนโยบายการเงินในอนาคต

ตัวเลขทางเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ประกาศออกมาค่อนข้างสดใส ดูเหมือนจะไม่ได้ช่วยหนุนให้กระแสคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะเติบโตมากกว่า 2% ได้ภายในปีนี้สูงขึ้นแต่อย่างใด ท่ามกลางอัตราว่างงานที่ยังอยู่ในระดับต่ำ



แต่เมื่อเร็วๆนี้กลับมีปัจจัยเสี่ยงทางเศรษฐกิจครั้งใหม่ปรากฏออกมา ซึ่งก็คือเรื่องของการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา และผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจจีน ซึ่งน่าจะเป็นหนึ่งในประเด็นที่เฟดน่าจะกล่าวถึงในถ้อยแถลงหลังการประชุมคืนนี้

· นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศแผนสร้างสันติในตะวันออกกลางในการกล่าวถ้อยแถลงร่วมกับนายเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล เมื่อคืนที่ผ่านมา โดยเสนอที่จะสร้างรัฐให้สำหรับชาวปาเลสไตน์เป็นส่วนหนึ่งของแผนสร้างสันติ ซึ่งทำให้เกิดเป็นเสียงวิพากษ์วิจารณ์มาจากฝั่งปาเลสไตน์ ว่าจะเป็นการจำกัดสิทธิ์และการอยู่อาศัยของพวกเขา

แผนการดังกล่าว แม้จะถูกอ้างว่าทำไปเพื่อสันติภาพของทั้งสองฝ่าย แต่หลายๆฝ่ายมีมุมมองว่าเป็นแผนที่มีผลประโยชน์เอนเอียงไปยังฝั่งอิสราเอล เนื่องจากไม่มีตัวแทนของปาเลสไตน์ในการกล่าวถ้อยแถลงเมื่อคืนร่วมด้วย

· นักวิเคราะห์จาก Eurasia Group มีมุมมองว่า การระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาในประเทศจีนครั้งนี้ ถือเป็นความท้าทายทางการเมืองครั้งสำคัญที่สุดของนายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน นับตั้งแต่ที่เขาขึ้นรับตำแหน่งในปี 2012

· ผลสำรวจโดย Reuters คาดการณ์ว่า อัตราการผลิตภาคอุตสาหกรรมของประเทศจีนในเดือน ม.ค. มีแนวโน้มที่จะชะลอตัวลง หลังจากที่สามารถเติบโตได้ในระดับปานกลางเมื่อ 2 เดือนก่อนหน้า ขณะที่การระบาดของเชื้อไวรัสจะเป็นปัจจัยที่ยิ่งตอกย้ำทิศทางการชะลอตัวของเศรษฐกิจที่เดิมทีก็มีทิศทางจะชะลอตัวลงอยู่แล้ว

ทั้งนี้ แบบสำรวจคาดการณ์ว่าดัชนี PMI เดือน ม.ค. ของจีนมีแนวโน้มที่จะประกาศออกมาลดลงสู่ระดับเป็นกลางที่ 50.0 จุด จาก 50.2 จุดในเดือน ธ.ค. โดยดัชนี PMI ของจีนมีกำหนดการจะประกาศในวันศุกร์นี้

· ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นเป็นวันที่ 2 ท่ามกลางการเจรจาเป็นระยะเวลา 5 วันของกลุ่มโอเปก โดยอาจขยายระยะเวลาลดกำลังการผลิต หลังราคาน้ำมันได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในประเทศจีนที่ส่งผลต่ออุปสงค์ของน้ำมัน ขณะที่การปรับลดลงของข้อมูลสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯช่วยให้ราคาทรงตัว

ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบ Brent ปรับขึ้น 58 เซนต์ หรือ 1% ที่ระดับ 60.09 เหรียญ/บาร์เรล ทางด้าน น้ำมันดิบ WTI ปรับขึ้น 55 เซนต์ หรือ 1% ที่ระดับ 54.03 เหรียญ/บาร์เรล

· บรรดานักวิเคราะห์จากธนาคาร Barclays มีมุมมองว่า ราคาน้ำมันมีแนวโน้มที่จะได้รับผลกระทบจากการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา ซึ่งจะทำให้ปริมาณอุปสงค์ในน้ำมันอ่อนแอและกดดันราคาน้ำมันลง โดยคาดการณ์ว่า ราคาน้ำมันดิบปีนี้จะปิดตลาดลดลง 2 เหรียญ/บาร์เรล หรือที่ 62 เหรียญ/บาร์เรล สำหรับราคาน้ำมัน Brent และ 57 เหรียญ/บาร์เรล สำหรับ WTI


บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com