• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 29 มกราคม 2563

    29 มกราคม 2563 | Economic News

· สถานการณ์ไวรัสโคโรนา

เช้านี้ รายงานเช้านี้จากรอยเตอร์ส ระบุว่า มีรายงานผู้เสียชีวิตครั้งใหม่เพิ่มขึ้นอีก 25 รายในมณฑลหูเป่ย ขณะที่ CNBC เผยถึงรายงานสำนักคณะกรรมาธิการด้านสุขภาพจีนว่า มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม 1 รายในมณฑลหูหนาน ส่งผลให้มียอดผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 26 ราย รวมเป็นยอดผู้เสียชีวิตเวลานี้อยู่ที่ 132 ราย ขณะที่การยืนยันจำนวนผู้ต้องสงสัยจะได้รับเชื้อเพิ่มอีก 1,459 ราย ส่งผลให้ภาพรวมจะมีผู้ติดเชื้อทั้งหมด 5,974 ราย และที่รักษาหายแล้ว 103 ราย

ความกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของไวรัสดังกล่าวส่งผลให้สายการบินโดยส่วนใหญ่ลดเที่ยวบินจากจีน ขณะที่บริษัทต่างๆทั่วโลกมีมาตรการเข้มงวดต่อพนักงานในการเดินทางไปยังจีน ขณะที่รายงานจากทำเนียบขาวล่าสุด เผยว่าอาจมีการยกเลิกเที่ยวบิน จีน-สหรัฐฯทั้งหมดในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของไวรัส

ด้านออสเตรเลีย เผยว่า ทีมนักวิทยาศาสตร์ประสบความสำเร็จในการศึกษาการเติบโตของไวรัสโคโรนา และข่าวดังกล่าวดูจะถือเป็นข่าวดีที่อาจนำไปสู่การช่วยให้ทีมวิจัยทั่วโลกสามารถพัฒนาวัคซีนและการทดสอบการรักษา

ล่าสุดทำเนียบขาวตัดสินใจไม่ยกเลิกเที่ยวบินจากจีนสู่สหรัฐฯ แต่ยังคงจับตาดูสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาอย่างใกล้ชิด

อย่างไรก็ตาม ทางทีมบริหารมีการจัดการประชุมเพื่อหาทางรับมือเชื้อไวรัสทุกวัน และยังมีความเป็นไปได้ที่จะยกเลิกเที่ยวบินระหว่างจีนและสหรัฐฯทั้งหมด หากข้อมูลด้านสุขภาพออกมาสนับสนุนแนวคิดดังกล่าว

· ความกังวลเกี่ยวกับการที่เศรษฐกิจโลกจะปรับตัวลงจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา ดูจะช่วยสนับสนุนค่าเงินในกลุ่มสินทรัพย์ปลอดภัย โดยดอลลาร์ก็มีการถือครองมากขึ้นในฐานะ Safe-Haven จึงไปทำสูงสุดในรอบ 2 เดือน ขณะที่สวิสฟรังก์ทำแข็งค่ามากสุดในรอบเกือบ 3 ปีเมื่อเทียบยูโร

อย่างไรก็ดี หลังจากที่ตลาดเผชิญแรงเทขายอย่างหนักในวันจันทร์ที่ผ่านมา ก็ดูจะเห็นการรีบาวน์ขึ้นได้บ้างของสินทรัพย์เสี่ยงต่างๆ และทำให้เงินเยนอ่อนค่าลง 0.26% ที่ 109.14 เยน/ดอลลาร์ ขณะที่ภาพรวมตลาดค่อนข้างทรงตัว โดยดอลลาร์รอคอยผลประชุมเฟดที่จะเปิดเผยในคืนนี้ ที่ถูกคาดว่าเฟดน่าจะยังคงดอกเบี้ยไว้ในการประชุมวาระนี้

ดัชนีดอลลาร์ปรับแข็งค่าขึ้น 0.19% ที่ 98.06 จุด ซึ่งเป็นแข็งค่ามากที่สุดตั้งแต่ช่วงต้นเดือนธ.ค. และเดือนม.ค. มีการปรับแข็งค่าขึ้นได้ประมาณ 1.8% ในส่วนของยูโรอ่อนค่าเล็กน้อย 0.05% ที่ 1.101 ดอลลาร์/ยูโร

ค่าเงินหยวนมีเสถียรภาพมากขึ้นหลังจากที่ดิ่งลงอ่อนค่าอย่างหนักในรอบ 3 เดือน โดยเงินหยวนเริ่มกลับมาแข็งค่าเล็กน้อย 0.19% เมื่อเที่ยบดอลลาร์

· ราคาน้ำมันดิบรีบาวน์หลังดิ่งลงต่อเนื่อง 5 วันทำการ โดยได้รับอานิงสง์จากการฟื้นตัวของตลาดหุ้นสหรัฐฯ และการที่กลุ่มโอเปกและชาติพันธมิตรอาจมีมาตรการตึงตลาดน้ำมัน จากความกังวลเกี่ยวกับไวรัสโคโรนาที่อาจเข้ากดดันอุปสงค์น้ำมัน

น้ำมันดิบ Brent ปิดปรับขึ้น 13 เซนต์ หรือ +0.2% ที่ 59.43 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ WTI ปรับขึ้น 34 เซนต์ หรือ +0.6% ที่ระดับ 53.48 เหรียญ/บาร์เรล

หุ้นสหรัฐฯปรับตัวขึ้น เพราะได้รับแรงหนุนจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและการเงินที่มีแรงซื้อกลับหลังจากถูกเทขายอย่างหนักในรอบ 4 เดือน ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา และความเป็นไปได้ที่จะส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ

· กระบวนการไต่สวนนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยังคงดำเนินต่อไปในวุฒิสภา ท่ามกลางความไม่แน่นอนว่าวุฒิสภาจะมีมติเรียกพยานมาให้ปากคำเพิ่มเติมหรือไม่ภายในการลงมติช่วงสัปดาห์นี้ ขณะที่ทีมทนายความของนายทรัมป์เรียกร้องให้ดำเนินการไต่สวนไปอย่างรวดเร็ว เพื่อที่จะได้ข้อสรุปเสียที

· สำนักงานด้านงบประมาณประจำสภาคองเกรสแห่งสหรัฐฯ คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯจะเติบโตได้ในระดับ “แข็งแกร่ง” ที่ 2.2% แต่ยอดขาดดุลของรัฐบาลสหรัฐฯจะเพิ่มขึ้นเป็น 1.02 ล้านล้านเหรียญ

โดยทางสำนักงานระบุว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯจะแข็งแกร่งในช่วงของการเลือกตั้งประธานาธิบดี เนื่องจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่สดใส แต่อัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยจะยังคงอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำ แม้จะผ่านมา 1 ทศวรรษแล้วก็ตาม

ทั้งนี้ อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจจะเฉลี่ยอยู่ที่ 1.7% สำหรับปี 2021 ถึง 2030 ขณะที่อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มชะลอการเติบโตภายในปี 2023

ด้านนโยบายการเงิน อย่างเรื่องภาษีและการใช้จ่ายของภาครัฐ ทางสำนักงานคาดว่าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ จึงอาจผลักดันให้ระดับหนี้สินสาธารณะของสหรัฐฯเพิ่มขึ้นเป็น 31.4 ล้านล้านเหรียญ ในช่วงสิ้นปี 2030 ซึ่งคิดเป็น 98% ของยอด GDP สหรัฐฯ นับว่าเป็นระดับสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 หรือคิดเป็นมากกว่า 2 เท่าของค่าเฉลี่ยตลอดช่วง 50 ปีที่ผ่านมา

และหากนโยบายการเงินยังคงดำเนินไปเช่นนี้ ค่าใช้จ่ายของภาครัฐก็จะสูงกว่ารายรับภายในปี 2050

· สำนักข่าวรอยเตอร์ส เผยว่า บีโอเจควรมีการปรับทบทวนกรอบเวลาการดำเนินนโยบายการเงิน ท่ามกลางสภาวะทางเศรษฐกิจที่เปราะบาง และมีอัตราการขยายตัวระดับต่ำ ควบคู่กับภาวะเงินเฟ้อชะลอตัว โดยบรรดาสมาชิกบอร์ดบริหารของบีโอเจ ชี้ว่า สิ่งแรกที่ควรทำคือการปรับทบทวนมุมมองดอกเบี้ยในเดือนม.ค.นี้

 


บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com