• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 14 มกราคม 2563

    14 มกราคม 2563 | Economic News



· ดัชนีดอลลาร์ทรงตัวก่อนจะเข้าสู่ช่วงการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญในสัปดาห์นี้ ไม่ว่าจะเป็นดัชนี CPI คืนนี้ และยอดค้าปลีกในวันพฤหัสบดี หลังจากที่ค่าเงินอ่อนค่าลงตอบรับจ้างงานรัฐบาลสหรัฐฯออกมาแย่ลงเมื่อคืนวันศุกร์ ขณะที่ค่าเงินปอนด์อ่อนค่าลงมากที่สุดหลังจากที่มีคาดการณ์เพิ่มมากขึ้นว่าบีโออีจะทำการปรับลดดอกเบี้ยในเดือนนี้ หลังจากที่จีดีพีประเทศอ่อนแอลงมากที่สุดในรอบกว่า 7 ปีในเดือนพ.ย.

ดัชนีดอลลาร์ทรงตัวที่ 97.35 จุด หลังจากที่พุ่งไปแตะ 97.53 จุด ด้านเงินปอนด์อ่อนค่าลง 0.48% ที่ 1.2996 ดอลลาร์/ปอนด์ หลังไปทำต่ำสุดที่ 1.2959 ดอลลาร์/ปอนด์

ค่าเงินหยวนแข็งค่ามากที่สุดรอบ 5 เดือนครึ่งขานรับรายงานจากของ Bloomberg ที่ระบุว่า สหรัฐฯจะถอนจีนออกจากประเทศบิดเบือนค่าเงินก่อนทำข้อตกลงการค้าในวันพุธนี้ ด้านค่าเงินเยนอ่อนค่าทำต่ำสุดรอบ 7 เดือนครึ่งจากสัญญาณเชิงบวกในการจะลงนามการค้าร่วมกันของสองประเทศจึงเพิ่มความเชื่อมั่นในสินทรัพย์เสี่ยง

· ค่าเงินหยวนที่แข็งค่ามากที่สุดในรอบ 5 เดือนครึ่งบริเวณ 6.8792 หยวน/ดอลลาร์ โดยแข็งค่ามากที่สุดตั้งแต่ 29 ก.ค. ที่ผ่านมา จากการที่สหรัฐฯพิจารณายกเลิกบัญชีดำจีนในฐานะการปั่นค่าเงิน ท่ามกลางสองฝ่ายจะลงนามข้อตกลงเฟสแรกร่วมกันในสัปดาห์นี้


ทั้งนี้ กระทรวงการคลังสหรัฐฯระบุว่า จีนเป็นประเทศที่บิดเบียนค่าเงินตั้งแต่ 1 ส.ค. ปีที่แล้ว และเป็นครั้งแรกที่สหรัฐฯจัดจีนให้อยู่ในกลุ่มประเทศบัญชีดำ เนื่องจากจีนดูจะจงใจให้ค่าเงินหยวนอ่อนค่า สร้างความได้เปรียบทางการค้าและไม่ยุติธรรมต่อสหรัฐฯ

หลังรายงานของ CNBC ดังกล่าว ก็ดูจะเพิ่มความเชื่อมั่นให้แก่ตลาดหุ้นและทำให้ดัชนี S&P500 พุ่งขึ้นทำสูงสุดเป็นประวัติการณ์จากข่าวที่กระทรวงการคลังสหรัฐฯจะถอนจีนออกจากลิสต์ดังกล่าว

· การลงนามในข้อตกลงการค้าเฟสแรกระหว่างสหรัฐฯ-จีนที่จะเกิดขึ้นภายในสัปดาห์นี้ ยังคงไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดของข้อตกลงออกมา ส่งผลให้ตลาดเริ่มมีความกังวลว่าทั้ง 2 ประเทศจะมีแนวทางสำหรับการผลักดันข้อตกลงดังกล่าวเช่นไร

โดยสถาบัน P.J. Quaid ซึ่งเป็นโบรกเกอร์อนุพันธ์ข้าวโพด มีความเห็นว่า ตลาดมีมุมมองค่อนข้างไปในเชิงลบ เนื่องจากข้อตกลงที่จีนจะเข้าซื้อสินค้าการเกษตรจากสหรัฐฯเป็นปริมาณมาก ดูจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงได้ยาก

ขณะที่อดีตที่ปรึกษาด้านการค้าประจำทำเนียบขาว ระบุว่า หัวใจสำคัญของข้อตกลงครั้งนี้คือแนวทางที่จีนจะลงมือจำกัดประเด็นการบังคับถ่ายโอนเทคโนโลยีมากน้อยเพียงใด

· ยอดเกินดุลงบประมาณของรัฐบาลสหรัฐฯทะลุระดับ 1 ล้านล้านเหรียญในปี 2019 ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่ยอดเกินดุลทะลุระดับดังกล่าวตั้งแต่ปีปฏิทิน 2012 โดยขึ้นไปทำระดับสูงสุดที่ 1.02 ล้านล้านเหรียญ คิดเป็นเพิ่มขึ้น 28.2% จากปี 2018

นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้เคยให้สัญญาว่า นโยบายปรับลดภาษีครั้งใหญ่ให้กับภาคบริษัทและลดข้อจำกัดทางกฏหมาย จะช่วยลดยอดเกินดุลของรัฐบาลได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยอดเกิดดุลกลับเพิ่มสูงขึ้นแทน จึงส่งผลให้หนี้สินของสหรัฐฯเพิ่มขึ้นเป็น 23.2 ล้านล้านเหรียญในปัจจุบัน

· ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลงกว่า 1% จากปัญหาตึงเครียดตะวันออกกลางที่ผ่อนคลายลงไป และตลาดกลับมาให้ความสำคัญกับภาวะอุปสงค์ที่ลดลง รวมทั้งรายงานเชิงลบเกี่ยวกับสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯที่เพิ่มขึ้น โดยน้ำมันดิบ Brent ปิดลง 78 เซนต์ หรือ -1.2% ที่ระดับ 64.2 เหรียญ/บาร์เรล ทางด้านน้ำมันดิบ WTI ปิด -1.6% หรือ 96 เซนต์ ที่ 58.08 เหรียญ/บาร์เรล ซึ่งถือเป็นระดับปิดต่ำสุดตั้งแต่ 3 ธ.ค. ที่ผ่านมา และภาพรวม WTI เคลื่อนไหวต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ย MA ราย 50 วันเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ 3 ธ.ค. เช่นกัน จึงทำให้มีการปิดปรับตัวลงต่ำกว่า MA 50 เป็นครั้งแรกตั้งแต่ 29 พ.ย.


บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com