• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคค่ำ) ประจำวันที่ 3 มกราคม 2563

    3 มกราคม 2563 | Economic News


· ค่าเงินเยนแข็งค่าตามสินทรัพย์ปลอดภัยอื่นๆ หลังจากเหตุโจมตีสนามบินนานาชาติของกรุงแบกแดด ที่คร่าชีวิตของผู้บัญชาการทหารอิหร่านรวมถึงเจ้าหน้าระดับสูง ส่งผลให้เกิดเป็นความตึงเครียดในพื้นที่ตะวันออกกลาง และหนุนราคาน้ำมันปรับสูงขึ้นอย่างมาก

นักวิเคราะห์จาก OANDA กล่าวว่า เพิ่งเปิดตลาดปีนี้ได้แค่ 3 วัน ก็จัดเต็มกันเลยทีเดียว โดยส่วนตัวมองว่ามีความเป็นไปได้สูงที่อิหร่านจะทำการตอบโต้สหรัฐฯ

ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าเมื่อเทียบกับเงินเยน 0.4% แถว 108.14 เยน/ดอลลาร์ หลุดแนวรับสำคัญลง และทำระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน พ.ย.

ด้านดัชนีดอลลาร์อ่อนค่าลงเล็กน้อยแถว 96.770 จุด แต่ยังเคลื่อนไหวใกล้ระดับต่ำสุดในรอบ 6 เดือนที่ 96.355 จุด

ค่าเงินปอนด์ทรงตัวแถว 1.3135 ดอลลาร์/ปอนด์ หลังขึ้นไปทำระดับสูงสุดที่ 1.3266 ดอลลาร์/ปอนด์เมื่อวานนี้ ขณะที่ค่าเงินยูโรทรงตัวแถว 1.1171 ดอลลาร์/ยูโร หลังจากปรับขึ้นทดสอบแนวต้านสำคัญที่ 1.1249 ดอลลาร์/ยูโร แต่ไม่ผ่านและย่อตัวลงมา

คืนนี้จะมีถ้อยแถลงของเจ้าหน้าเฟดหลายรายด้วยกัน ซึ่งได้แก่ นางลาเอล เบรนนาร์ด ผู้ว่าเฟด, ตามมาด้วยประธานเฟดสาขาซานฟรานซิสโก ชิคาโก และดัลลัส โดยนักวิเคราะห์มองว่า ถ้อยแถลงคืนนี้น่าจะยังคงมุมมองเชิงบวกต่อทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ และส่งสัญญาณว่าเฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยตลอดปีนี้

· นักวิเคราะห์จาก FXStreet ระบุว่า ค่าเงินปอนด์ยังถูกกดดันใกล้แนว 1.3100 ดอลลาร์/ปอนด์ ท่ามกลางความตึงเครียดตะวันออกกลางและก่อนทราบ PMI อังกฤษ โดยจะเห็นได้ว่าเงินปอนด์อ่อนค่าลงต่ำกว่า 1.3150 ดอลลาร์/ปอนด์ โดยความต้องการสินทรัพย์ปลอดดภัยอย่างดอลลาร์เพิ่มขึ้น หลังมีเหตุตึงเครียดในตะวันออกกลาง ประกอบกับดัชนี PMI ภาคการก่อสร้างอังกฤษที่มีแนวโน้มหดตัว ขณะท่ี่ Brexit ก็ยังดำเนินไป



ภาพทางเทคนิคของเส้น SMA ราย 21 วัน อยู่แนว 1.3120 ดอลลาร์/ปอนด์ หากหลุดลงมามีโอกาสเห็นค่าเงินปอนดฺทำต่ำสุดตั้งแต่ 10 ต.ค. บริเวณ 1.3000 ดอลลาร์/ปอนด์ได้



ในทางตรงข้าม หากยืนเหนือระดับสูงสุดรอบสัปดาห์ที่ 1.3285 ดอลลาร์/ปอนด์ ก็มีโอกาสปรับขึ้นไปแตะ 1.3320 ดอลลาร์/ปอนด์ ก็อาจเห็นกำลังการเข้าซื้อและจะดันให้เงินปอนด์ฟื้นตัวต่อ

· นักวิเคราะห์จาก FXStreet กล่าวว่า ค่าเงินยูโรมีการซื้อขายใกล้ระดับ 1.1150 ดอลลาร์/ยูโร ท่ามกลางเหตุการณ์ที่สหรัฐฯได้สังหารเจ้าหน้าที่ระดับสูงของทางอิหร่ารน จึงทำให้เกิดสภาวะ Risk-Off และทำให้กลุ่มนักลงทุนพากันเลือกถือครองสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างดอลลาร์ ขณะที่ตลาดก็รอดูข้อมูลเงินเฟ้อเยอรมนีและดัชนี PMI ภาคการผลิตของเอกชนสหรัฐฯ



ภาพทางเทคนิคค่าเงินยูโรยังทรงตัวระดับล่างของเส้น Fibonacci ในกรอบ 1.1066 - 1.1239 ดอลลาร์/ยูโร ขณะที่แนวรับด้านล่าของค่าเงินยูโร ณ ขณะนี้อยู่แนว 1.1150 อลลาร์/ยูโร หากไม่สามารถยืนได้ก็มีโอกาสเห็นการปรับลงต่ำกว่า 1.1130 ดอลลาร์/ยูโร (Fibonacci 61.8%) และเมื่อนั้นก็มีโอกาสเห็นยูโรอ่อนค่าลงมาทดสอบ 1.1100 ดอลลาร์/ยูโร


ในทางกลับกันหากยืนเหนือ 1.1175 - 1.1180 ดอลลาร์/ยูโร ซึ่งเป็นระดับแนวต้าน และหากผ่านไปได้อย่างมั่นคงก็มีโอกาสเห็นยูโรขึ้นไปแถว 1.1240 ดอลลาร์/ยูโร โดยระยะสั้นหากผ่านได้ก็มีโอกาสเห็นยูโรแข็งค่าที่ 1.1300 ดอลลาร์/ยูโร



· EUR/USD: ทรงตัวท่ามกลางกระแสความวุ่นวายทางการเมือง ตลาดจับตาข้อมูลเยอรมนี

ค่าเงินยูโรค่อนทรงตัวแบบ Sideways แถว 1.1170 ดอลลาร์/ยูโร ท่ามกลางข่าวความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ-อิหร่านในวันนี้ ประกอบกับกระแส Risk-off ของตลาดในช่วงนี้

ทั้งนี้ แนวโน้มในอนาคตของค่าเงินยูโรมีโอกาสที่จะถูกเข้าซื้อมากขึ้น เนื่องจากอีซีบีกำลังใช้อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0% และได้รับแรงหนุนจากยอดเกินดุลการค้าของยูโรโซน

อย่างไรก็ตาม หากข้อมูลการจ้างงานของเยอรมนีในวันนี้ประกาศออกมาอ่อนแอกว่าคาด ค่าเงินก็มีแนวโน้มที่จะย่อตัวลง โดยอัตาว่างงานของเยอรมนีถูกคาดว่าจะประกาศออกมาทรงตัวที่ 5% และมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 2,000 ตำแหน่งในเดือน ธ.ค.

· จับตารายงานประชุมเฟดคืนนี้ ซึ่งจะเป็นรายงานการประชุมประจำเดือนธ.ค.ปีที่แล้ว ที่เฟดได้ตัดสินใจคงดอกเบี้ยในการประชุมไว้ และดูยังไม่มีแนวโน้มที่จะเห็นเฟดตัดสินใจปรับขึ้นดอกเบี้ยใดๆในปี 2020 แต่อาจเห็นเฟดขึ้นดอกเบี้ยได้อย่างน้อย 1 ครั้งในปี 2021 และ 2022

ขณะที่จีดีพีสหรัฐฯปีนี้เฟดปรับเพิ่มขึ้นมาที่กรอบ 2.0 - 2.2% เดิมคาดไว้ในเดือนก.ย.ที่ 1.8 - 2.1% ทางด้านอัตราว่างงานคาดลดลงมาสู่กรอบ 3.5 - 3.7% จากเดิมที่คาดไว้ที่ 3.6 - 3.8% และเงินเฟ้อคาดว่าจะอยู่ในกรอบ 1.8 - 1.9% ลดลงจากกรอบเดิมท่ี่ตั้งเป้าไว้ที่ 1.8 - 2.0% และ Core PCE Inflation เป็นตัวเดียวที่คาดว่าจะทรงตัวที่ 1.9 - 2.0%

· เครื่องมือ FedWatch ของ CME ระบุว่า การประชุมเฟดครั้งต่อไปในช่วงสิ้นเดือนม.ค. มีโอกาสจะเห็นเฟดคงดอกเบี้ยสูงถึง 94%

· รายงานจาก CNBC ชี้ ตลาดจับตาข้อมูล ISM Manufacturing PMI ที่จะประกาศในคืนนี้อย่างใกล้ชิด โดยหากข้อมูลยืนได้เหนือ 50 จุด จะสะท้อนถึงการขยายตัวของภาคการผลิต แต่หากออกมาต่ำกว่า 50 จุดอีกครั้งก็จะกลายเป็นเดือนที่ 5 ที่ดัชนี PMI ภาคการผลิตหดตัวลงอย่างต่อเนื่อง

· ทิศทางการเมืองของสหรัฐฯต้อนรับปี 2020 ด้วยความขัดแย้งครั้งใหญ่กับอิหร่าน และผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่า ประเด็นความขัดแย้งทางการเมืองจะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆเมื่อเข้าใกล้การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯในเดือน พ.ย. ปีนี้ และไม่ใช่แค่ความขัดแย้งกับต่างประเทศเท่านั้น แต่จะรวมไปถึงความขัดแย้งภายในสหรัฐฯเอง

ศาสตราจารย์ประจำ London School of Economics ระบุว่า ปี 2020 จะเป็นปีที่กระแสความขัดแย้งทางการเมืองจะมีรุนแรงมากขึ้น และจะส่งผลกระทบต่อทิศทางการเลือกตั้งประธานาธิบดีอย่างมีนัยสำคัญ



โดยตลอดช่วง 3 ปีที่ผ่านมา สหรัฐฯแตกออกเป็น 2 ฝ่ายอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการแบ่งฝ่ายทางพรรคการเมือง หรือฝ่ายประธานาธิบดีกับสภาคองเกรส หรือไปจนถึงฝ่ายสภาล่างและฝ่ายสภาสูง เชื่อว่าการแบ่งฝ่ายเช่นนี้ จะดำเนินต่อไปภายในปี 2020 จึงอาจทำให้กระแสความขัดแย้งทางการเมืองในสหรัฐฯมีความตึงเครียดยิ่งขึ้น



ประเด็นสำคัญที่สุดที่หลายๆฝ่ายจะให้ความสนใจ คือเรื่องของการลงนามในข้อตกลงการค้าเฟสแรกระหว่างสหรัฐฯและจีน รวมถึงทิศทางความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯและอิหร่าน ส่วนประเด็นภายในประเทศ คือเรื่องของการไต่สวนประธานาธิบดี และการเลือกตัวแทนลงเลือกตั้งของพรรคเดโมแครตที่จะเริ่มต้นในเดือน ก.พ. นี้



สำหรับตัวแทนของฝั่งเดโมแครตที่มีโอกาสเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีมากที่สุดตอนนี้ ได้แก่ นายโจ ไบเดน, นายเบอนีย์ แซนเดอร์, และนางเอลิซาเบธ วาร์เรน



ผู้บริหารประจำสถาบัน Continuum Economics ระบุว่า สิ่งตลาดอยากรู้มากที่สุด ณ ตอนนี้ คือใครจะเป็นตัวแทนจากฝั่งเดโมแครตเพื่อลงเลือกตั้งแข่งขันกับนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯคนปัจจุบัน



หากเป็นคู่ ไบเดน-ทรัมป์ ตลาดมองว่าทิศทางของนโยบายเศรษฐกิจสหรัฐฯน่าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปมากนักหลังการเลือกตั้ง โดยนายไบเดนมีมุมมองเกี่ยวกับยอดขาดดุลทางการค้าค่อนข้างคล้ายกับนายทรัมป์ แต่นายไบเดนดูจะมีท่าทีประนีประนอมกับจีนมากกว่านายทรัมป์ ดังนั้น หากเป็นคู่ ไบเดน-ทรัมป์ เชื่อว่าตลาดการเงินจะมีการตอบรับไปในเชิงบวก



ในกรณีที่เป็นคู่ ทรัมป์-แซนเดอร์ หรือ ทรัมป์-วาร์เรน ตลาดการเงินอาจตอบรับไปในเชิงลบ เนื่องจากความกังวลว่า นโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐฯอาจมีการเปลี่ยนครั้งสำคัญ



โดยทั้งนายแซนเดอร์และนางวาร์เรน ต่างเป็นนักการเมืองที่เป็นขั้วตรงข้ามกับตลาดการเงินสหรัฐฯ ดังนั้น หากคนใดคนหนึ่งครองตำแหน่งประธานาธิบดี เชื่อว่าจะไม่เป็นผลดีต่อการประกอบธุรกิจหรือความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในตลาดการเงินสหรัฐฯแต่อย่างใ

· นายฮัสซัน โรฮานี ประธานาธิบดีอิหร่าน ประกาศตอบโต้กรณีการโจมตีสนามบินนานาชาติของกรุงแบกแดด ที่ทำให้ผู้บัญชาการทหารของอิหร่านเสียชีวิต ว่าอิหร่านมีความมุ่งมั่นที่จะตอบโต้สหรัฐฯมากยิ่งขึ้น เพื่อรักษาคุณค่าของอิหร่าน และเชื่อมั่นว่าบรรดาประเทศที่เรียกร้องอิสรภาพในพื้นที่ตะวันออกกลางจะให้การสนับสนุนการล้างแค้นครั้งนี้

· กระแสตอบรับภายในบรรดาเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ หลังเหตุโจมตีสนามบินนานาชาติของกรุงแบกแดดวันนี้ พบว่าส่วนใหญ่เห็นด้วยกับการเสียชีวิตของนายพล Qassem Soleimani แต่ก็ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของทีมบริหารของประธานาธิบดีสหรัฐฯ

โดยเฉพาะนายโจ ไบเดน ที่มองว่า นายพล Qassem เป็นผู้คร่าชีวิตของทหารชาวอเมริกันไปมากมาย รวมถึงผู้คนบริสุทธ์อีกนับไม่ถ้วน จึงสมควรได้รับการลงโทษ แต่ก็ได้ตั้งคำถามว่า ทีมบริหารได้คำนึงถึงผลกระทบในระยะยาวดีแล้วหรือ



ขณะที่ทางด้านนางเอลิซาเบธ วาร์เรน แม้จะเห็นด้วยกับการเสียชีวิตของนายพล แต่ก็ได้ประนามการกระทำของทีมบริหารว่าเป็นการกระทำที่ขาดความยั้งคิด และอาจนำมาซึ่งความสูญเสียที่ใหญ่หลวงกว่านี้ในอนาคต

· นักวิเคราะห์จาก Danske Bank ประเมินว่า ประเด็นสำคัญที่ตลาดจะให้ความสนใจภายในวันนี้ คือการโจมตีสนามบินนานาชาติของกรุงแบกแดด ที่ทำให้ผู้บัญชาการทหารของอิหร่านเสียชีวิต และส่งผลให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นเป็นหลัก

ในส่วนของข้อมูลทางเศรษฐกิจที่ต้องจับตาในคืนนี้ ได้แก่ ดัชนี ISM manufacturing index ของสหรัฐฯในเดือน ธ.ค. โดยดัชนีได้ปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง ทำระดับต่ำยิ่งกว่าดัชนีชี้วัดตัวอื่นๆ และยังไม่มีสัญญาณของการฟื้นตัวเหมือนกับดัชนีชี้วัดทางเศรษฐกิจของประเทศอื่นๆ ดังนั้นจึงประเมินว่า ดัชนีมีโอกาสฟื้นตัวได้เล็กน้อยในการประกาศคืนนี้ จากระดับ 48.1 จุด สู่ระดับ 49.9 จุด



อีกปัจจัยหนึ่งที่ต้องจับตาคือรายงานการประชุมเฟดประจำเดือน ธ.ค. ที่จะเปิดเผยในคืนนี้ โดยในการประชุมครั้งดังกล่าวเฟดได้ส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่าจะคงนโยบายตลอดปี 2020 ด้วยคะแนนเสียงสนับสนุนจากบรรดาคณะกรรมการ 13 คน จากทั้งหมด 17 คน โดยมีคณะกรรมการเพียง 3 คนที่คาดว่าจะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ย 1 ครั้งในปีนี้

· ราคาน้ำมันทะยาน 4% หลังมีรายงานผู้บัญชาการทหารอิหร่าน ถูกสังหารในการโจมตีทางอากาศ

ราคาน้ำมันปรับสูงขึ้นเกือบ 4% ในช่วงเช้าของตลาดเอเชียวันนี้ หลังมีรายงานว่าผู้บัญชาการทางทหารของอิหร่านถูกสังหารจากการโจมตีทางอากาศ ณ สนามบินนานาชาติของกรุงแบกแดด



โดยราคาน้ำมันดิบ Brent ปรับขึ้น 3.98% ที่ระดับ 68.90 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับขึ้น 3.87% ที่ระดับ 63.55 เหรียญ/บาร์เรล



นายพล Qassim Soleimani ผู้นำหน่วยรบพิเศษประจำกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิหร่าน (Revolutionary Guards) ถูกสังหารในการโจมตีทางอากาศโดยกองกำลังที่ยังไม่ทราบฝ่าย พร้อมกับนาย Abu Mahdi al-Muhandis รองผู้บัญชาการ



นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่านักการเมืองระดับสูงของอิหร่านก็เป็นหนึ่งในผู้เสียชีวิตจากเหตุโจมตีครั้งนี้



ตามรายงานของรัฐบาลอิหร่านได้ระบุว่า การโจมตีเกิดขึ้นในขณะที่คณะของนาย Abu Mahdi ได้เดินทางมายังสนามบินนานาชาติ ณ กรุงแบกแดด เพื่อต้อนรับเครื่องบินของนายพล Qassim ที่บินมาจากเลบานอนหรือซีเรีย การโจมตีได้เกิดขึ้นทันทีที่นายพลลงจากเครื่องบิน โดยมีคณะของ Abu Mahdi มารอต้อนรับอยู่ก่อนแล้ว จึงถูกสังหารไปพร้อมๆกัน



เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นท่ามกลางประเด็นความขัดแย้งกับสหรัฐฯ หลังมีเหตุการโจมตีสถานฑูตของสหรัฐฯในกรุงแบกแดด เมื่อช่วงคืนก่อนขึ้นปีใหม่ ซึ่งเหตุการณ์นี้ได้ทำให้นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ส่งกำลังทหารลงพื้นที่ตะวันออกกลางเพิ่มเติมอีก 750 นาย


หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์สินค้าโภคภันฑ์ประจำ RBC Markets ได้อีเมลหา CNBC โดยระบุว่า เหตุการณ์ครั้งนี้อาจนำไปสู่การสู้รบกันโดยตรงกับอิหร่าน และจะไม่ใช่สงครามเงาหรือสงครามตัวแทนอีกต่อไป หมายความว่า นี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการประทะกันโดยตรงระหว่างสหรัฐฯและอิหร่านภายในปี 2020



· ราคาน้ำมันดิบปรับขึ้นได้กว่า 4% ในวันนี้จากภาวะกังวลเรื่องอุปทานล้นตลาด ขณะที่ทองคำปรับขึ้นตามและไปทำระดับสูงสุดตั้งแต่ก.ย. โดยนักวิเคราะห์จาก FXStreet ก็ดุจะวิเคราะห์ว่า เหตุการโจมตีที่เกิดขึ้นในวันนี้ส่งผลให้มีเจ้าหน้าที่ระดับสูงต้องเสียชีวิตลง และนี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ขณะที่นายทรัมป์อาจไม่ได้ตระหนักถึงสิ่งที่เขากระทำลงไป

ทั้งนี้ น้ำมันดิบ WTI ดูจะกลับมาเป็นขาขึ้นได้และระหว่างวันทำสูงสุดเหนือ 64 เหรียญ/บาร์เรล ก่อนจะมีแรงเทขายทำให้อ่อนตัวลงมาต่ำกว่าแนวต้าน 63.38 เหรียญ/บาร์เรล ซึ่งตลาดรอการตอบโต้กลับ เพราะหากเป็นเช่นนั้นจริงก็มีโอกาสเห็น WTI ปรับขึ้นเหนือระดับดังกล่าวอีกครั้ง และมีโอกาสเห็น 66.6 เหรีญญ/บาร์เรล แต่หากต่ำกว่า 62 เหรียญ/บาร์เรล ก็น่าจะเคลื่อนไหวได้ในกรอบ 50 - 64 เหรียญ/บาร์เรล

· สัญญาน้ำมันดิบ Brent ปรับขึ้นไปเกือบ 3 เหรียญ และทำระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.ย.ได้ ที่บริเวณ 69.16 เหรียญ/บาร์เรล ก่อนจะอ่อนตัวลงมาแนว 68.21 เหรียญ/บาร์เรล หรือภาพรวมปรับขึ้นได้ประมาณ 3% จากเหตุการที่สหรัฐฯเปิดฉากโจมตีอิหร่านทางอากาศ และทำให้เกิดการสูญเสียเจ้าหน้าที่คนสำคัญทางทหารของอิหร่านไป จึงยิ่งตอกย้ำความกังวลเกี่ยวกับความตึงเครียดตะวันออกกลางที่อาจเป็ฯอุปสรรคต่ออุปทานน้ำมันได้

ด้านน้ำมันดิบ WTI ปรับขึ้น 1.68 เหรียญ หรือ +2.8% ที่ระดับ 62.86 เหรียญ/บาร์เรล โดยไปทำสูงสุดตั้งแต่ 1 พ.ค. ที่ 63.84 เหรียญ/บาร์เรล


นักวิเคราะห์จาก OANDA กล่าวว่า ภาวะความเสี่ยงด้านอุปทานมาจากความกังวลที่อาจเห็นภาวะตึงเครียดในตะวันออกกลางรุนแรงขึ้นต่อเนื่อง


ทั้งนี้ สหรัฐฯมีการโจมตีทางอากาศใส่กรุงแบกแดด และทำให้ผู้บัญชาการทางทหารของอิหร่านเสียชีวิตลง


บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com