• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 3 มกราคม 2563

    3 มกราคม 2563 | Economic News

· ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นโดยฟื้นกลับหลังจากที่ไปทำต่ำสุดรอบ 6 เดือน โดยเมื่อวานปรับขึ้นประมาณ 0.46% จึงช่วยยุติการอ่อนค่าต่อเนื่องในช่วง 4 วันทำการ ทั้งนี้ ดอลลาร์ได้รับแรงหนุนจากการที่ข้อมูลเศรษฐกิจของเยอรมนีและอังกฤษออกมาอ่อนแอ จึงทำให้เงินยูโรและปอนด์อ่อนค่า และทำให้นักลงทุนหันมาถือครองดอลลาร์ในฐานะ Safe-Haven เพิ่มมากขึ้น

รายงานผลผลิตภาคโรงงานอุตสาหกรรมของอังกฤษร่วงลงในเดือนธ.ค. ด้วยอัตราที่เร็วที่สุดตั้งแต่ปี 2020 ขณะที่ดัชนี PMI ภาคการผลิตของเยอรมนีสะท้อนว่าภาคการผลิตหดตัวอย่างต่อเนื่องในเดือนธ.ค. และนั่นส่งผลให้ยูโรอ่อนค่าลง 0.39% ที่ 1.117 ดอลลาร์/ยูโร ขณะที่ค่าเงินปอนด์ปรับอ่อนค่า 0.87% ที่ 1.314 ดอลลาร์/ปอนด์

ดัชนีดอลลาร์แข็งค่ากลับมาที่ 96.846 จุด หลังจากไปทำอ่อนค่ามากที่สุดเมื่อวานนี้ที่ 96.5 จุด

· นักกลยุทธ์ค่าเงินจาก Cribstone Strategic Macro กล่าวว่า ค่าเงินปอนด์มีโอกาสพุ่งแตะ 1.65 ดอลลาร์/ปอนด์ในปี 2020 และจะเป็นค่าเงินเดียวที่มีปริมาณการซื้อขายมากที่สุดในโลก โดยเฉพาะหากมีความชัดเจนของทิศทางต่อไปของประเทศ ซึ่งเราอาจเห็นนักลงทุนเลือกถือค่าเงินปอนด์ในระยะยาว ซึ่งค่าเงินปอนด์ก็ถือเป็นสกุลเงินที่มีความน่าสนใจสำหรับนักลงทุน และจะเป็นหนึ่งในค่าเงินที่นักลงทุนทั่วโลกเลือกซื้อขาย

โดยจะเห็นได้ว่าหลังจากที่นายจอห์นสันได้รับชัยชนะจากการเลือกตั้งเดือนธ.ค.ที่ผ่านมา ค่าเงินปอนด์ก็ฟื้นตัวแข็งค่าได้กว่า 2% แตะ 1.35 ดอลลาร์/ปอนด์ แม้จะมีการอ่อนค่าตามมาจากกรณีที่รัฐบาลอังกฤษจะขยายกำหนดเส้นตายไม่ในการอออกจากอียูไม่เกินสิ้นปี 2020 และก่อให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่จะเผชิญ No-Deal แต่เงินปอนด์ก็อ่อนค่าไม่มากและเคลื่อนไหวแถว 1.31 ดอลลาร์/ปอนด์ ขณะที่เมื่อวานนี้ปิดตลาดที่ -0.3% บริเวณ 1.3208 ดอลลาร์/ปอนด์ โดยเงินปอนด์ดูมีแนวโน้มจะปรับตัวขึ้นสู่กรอบ 1.55 – 1.75 ดอลลาร์/ปอนด์ ภายในอีก 18 หรือ 24 เดือน โดยขึ้นกับกระแสภาวะ Hard Brexit ในตลาด

· รายงานจาก CNBC เผยว่า สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนที่เข้าสู่ปีที่ 2 ในปี 2019 ดูจะสร้างแรงกดดันให้แก่การเติบโตทางเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ รวมทั้งสูญเสียความเชื่อมั่นในภาคธุรกิจทั่วโลก ซึ่งจะเห็นได้ชัดจากภาพจีดีพีปีนี้ ที่เกิดการชะลอตัวลงทั้งเศรษฐกิจสหรัฐฯและจีน




และทำให้บรรดานักวิเคราะห์หลายๆฝ่ายคาดการณ์ว่าการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯและจีนนั้นจะเป็นไปในระดับปานกลางในปีนี้ ท่ามกลางความท้าทายของปัญหาทางการค้าและอุปสงค์ภายในประเทศ ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่สร้างแรงกดดันต่อความเปราะบางทางเศรษฐกิจโลกที่มีอยู่ได้

เรื่องต่อมาคือปริมาณการค้าที่ลดลง
โดยจะเห็นได้ว่าภาพรวมยอดส่งออกและนำเข้าของทั้งสองประเทศปรับตัวลดลง 10 เดือนในปี 2019 เมื่อเทียบกับปีก่อน ท่ามกลางกิจกรรมการค้าทั่วโลกที่ชะลอตัวลง และบรรดาเทรดเดอร์กับผู้เชี่ยวชาญบางส่วน แสดงความคิดเห็นถึงปัญหาที่เกิดว่าก่อตัวมาก่อนที่จะเริ่มเกิด Trade War



ภาพรวมยอดขาดดุลการค้าของสหรัฐฯดูจะไม่สมดุลกับทางจีน แต่ก็ไม่ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปมากนักในปี 2019 โดยจะเห็นได้ว่าช่วง ม.ค. - ต.ค. ของปี 2018 มียอดดุลการค้าที่ไม่สมมาตรกันที่ 3.445 แสนล้านเหรียญ ขณะที่ปี 20119 ลดลงมาเล็กน้อยที่ 2.945 แสนล้านเหรียญ

ภาคการผลิตของจีนและสหรัฐฯชะลอตัว และดูจะส่งผลให้เศรษฐกิจโลกประสบกับภาวะชะลอตัวลงต่อ อันเป็นผลกระทบจากสงครามการค้าที่เห็นได้ชัด ไม่ว่าจะเป็นรายงานจากดัชนี PMI ของภาครัฐบาลสหรัฐฯและจีน หรือแม้แต่ภาคเอกชนก็ตาม





· นายเจเรมี คอร์บลิน หัวหน้าพรรคแรงงานฝ่ายค้านในรัฐสภาอังกฤษ เสนอมาตรการให้ขยายระยะเวลาของ Brexit ออกไปอีก 2 ปี หรือจนถึงปี 2023 เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดกรณี No-deal Brexit หากอังกฤษไม่สามารถหาข้อตกลงร่วมกันอียูได้ภายในเดือน มิ.ย. ปีนี้

แต่เนื่องจากพรรคแรงงานได้ประสบความพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งเมื่อเดือนก่อนอย่างราบคาบให้กับพรรคอนุรักษ์นิยมของนายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ จึงมีแนวโน้มสูงที่มาตรการดังกล่าวจะถูกโหวตปฏิเสธไป ขณะที่นายบอริสยังคงยืนกรานว่าจะไม่มีการขอขยายระยะเวลาของ Brexit ออกไปมากกว่าปี 2020 อย่างแน่นอน

· ฮ่องกงรับทศวรรษใหม่ด้วยความวุ่นวาย โดยในวันแรกของปี 2020 ฮ่องกงยังคงอยู่ภาวะการประท้วงที่ยืดเยื้อและทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น ซึ่งล่าสุดมีรายงานเกี่ยวกับการที่ปิดถนน ทำลายไฟจราจร ขว้างระเบิดขวด สร้างความเสียหายให้สาขาธนาคาร ปล้นร้านค้า และมุ่งเป้าหมายไปยังเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาล ขณะที่ทางฝั่งตำรวจได้มีการจับกุมผู้ประท้วงไปกว่า 400 คน รวมถึงใช้แก๊สน้ำตาและปืนใหญ่น้ำเพื่อพยายามสลายการชุมนุม

· ธนาคาร HSBC จำเป็นต้องปิดสาขาในฮ่องกงลงมากกว่า 10 สาขา รวมถึงระงับการให้บริการตู้ ATM บางส่วน หลังตกเป็นเป้าหมายของกลุ่มผู้ชุมนุมชาวฮ่องกง จากข่าวต้องสงสัยว่าทาง HSBC ให้การสนับสนุนตำรวจฮ่องกง ด้วยการบังคับปิดกองทุนที่ถือครองโดย Spark Alliance ซึ่งเป็นกองทุนรวมของประชาชนฮ่องกง

ขณะที่ผู้บริหารของ CLSA ได้ออกมาแสดงความเห็นว่า ข่าวดังกล่าวเป็นการตอกย้ำถึงความยากลำบากในการดำเนินธุรกิจในฮ่องกง เนื่องจากมีความเป็นไปได้ที่ธุรกิจของคุณอาจตกเป็นเป้าหมายของผู้ชุมนุม

· ราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นและลงระหว่างวันทำการ จึงทำให้เราเห็นราคาปิดเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย ท่ามกลางสัญญาณความคืบหน้าของข้อตกลงการค้าสหรัฐฯและจีน ในขณะที่ตลาดก็เฝ้าดูความตึงเครียดในตะวันออกกลาง รวมทั้งการแข็งค่าของดอลลาร์ก็ดูจะเป็นปัจจัยกดดันสินค้าโภคภัณฑ์ โดยน้ำมันดิบ Brent ปิดปรับขึ้น 0.4% ที่ 66.27 เหรียญ/บาร์เรล ทางด้านน้ำมันดิบ WTI ปิดปรับขึ้น 0.2% ที่ 61.18 เหรียญ/บาร์เรล

อย่างไรก็ดี การปรับตัวลงของราคาน้ำมันก็ยังมีอย่างจำกัดจากมุมมองเชิงบวกของข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน ที่ดูจะช่วยสนับสนุนอุปสงค์ด้านพลังงาน

ผู้อำนวยการสัญญาซื้อขายล่วงหน้าจาก Mizoho Bank กล่าวว่า หากมีการเลื่อนข้อตกลงการค้าใดๆออกไปก็จะส่งผลให้ตลาดเผชิญแรงเทขายเข้ามาอีกครั้ง

ภาพรวมเดือนม.ค. เป็นเดือนที่ถูกกำหนดให้เริ่มต้นปรับลดกำลังการผลิตเพิ่มตามข้อตกลงที่ประชุมโอเปกและชาติพันธมิตร ที่เห็นพ้องกันจะปรับลดกำลังการผลิตเพิ่ม 500,000 บาร์เรล/วัน จากเดิมที่ 1.2 ล้านบาร์เรล/วัน เป็น 1.7 ล้านบาร์เรล/วัน เริ่ม 1 ม.ค. 63

· ผู้อำนวยการอาวุโสจาก Macro-Advisory กล่าวว่า มี 3 ปัจจัยหลักใหญ่ๆที่จะส่งผลต่อราคาน้ำมันดิบในปีนี้ โดย 1 ใน 2 ปัจจัยหลักคือ การขยายตัวของอุปสงค์น้ำมันดิบ และข้อกตลงของกลุ่มโอเปกและชาติพันธมิตรล่าสุดที่จะปรับลดกำลังการผลิตเพิ่มในปีนี้

แต่ความไม่แน่นอนในปีนี้ คือการที่กลุ่มผู้ผลิตน้ำมันสหรัฐฯจะเดินหน้าเพิ่มกำลังการผลิตต่อไปหรือไม่ แม้รายงานจาก IEA ล่าสุดจะเผยให้เห็นการเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันในปี 2020 ดูจะชะลอตัวลงแตะ 1.1 ล้านบาร์เรล/วัน จากเดิมที่ 1.6 ล้านบาร์เรล/วันในปี 2020

นอกจากนี้ ยังมีมุมมองว่า ข้อตกลงของกลุ่มโอเปกน่าจะเป็นปัจจัยหลักที่สนับสนุนให้เราเห็นราคาน้ำมันดิบเคลื่อนไหวในกรอบระหว่าง 60 – 70 เหรียญ/บาร์เรลได้

บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com