• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 17 กันยายน 2562

    17 กันยายน 2562 | Economic News

· ค่าเงินดอลลาร์ปรับแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักส่วนใหญ่วานนี้ หลังจากที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เผยอาจใช้มาตรการฉุกเฉินต่อสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯเพื่อตอบโต้ต่อเหตุโจมตีโรงผลิตน้ำมันรายใหญ่ของซาอุดิอาระเบียเพื่อชะลอการพุ่งขึ้นของราคาน้ำมันดิบ


ขณะที่ค่าเงินเยนและสวิสฟรังก์ ถูกเข้าถือครองเพิ่มในฐานะ Safe-Haven อันเป็นผลจากการทีราคาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นอย่างมาก ประกอบกับความกังวลต่อปัญหาภาวะอุปทานโลก และกลุ่มนักลงทุนยังคงกังวลว่าจะมีเหตุโจมตีอื่นๆตามมา


ดัชนีดอลลาร์ปรับแข็งค่าขึ้น 0.4% ที่ระดับ 98.64 จุด หลังจากที่ไปทำต่ำสุดนับตั้งแต่ 27 ส.ค.เมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา ขณะที่ค่าเงินเยนก็ปรับแข็งค่าขึ้น 0.5% ที่ 108.045 เยน/ดอลลาร์ โดยในช่วงเปิดตลาดเช้าวานนี้แข็งค่ามากที่สุดแถว 107.44 เยน/ดอลลาร์


· อัตราผลตอบแทนพันธบัตรเมื่อวานนี้ปรับตัวลงรับเหตุโจมตีโรงผลิตน้ำมันรายใหญ่ของซาอุดิอาระเบียที่ดูจะกระทบต่อภาวะอุปทานโลกประมาณ 5% และยิ่งตอกย้ำความตึงเครียดในตะวันออกกลาง หนุนนักลงทุนเข้าถือครอง Safe-Haven โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี ปรับตัวลงกลับมาบริเวณ 1.862% ขณะที่ 30 ปี ปรับลงแตะ 2.334%


· รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของซาอุดิอาระเบีย กล่าวว่า มีการเชิญผู้เชี่ยวชาญระดับประเทศ ประกอบด้วย UN มาร่วมหาหลักฐานเหตุโจมตีเมื่อวันเสาร์นี้ ทีส่งผลให้การผลิตน้ำมันซาอุดิอาระเบียปรับตัวลงไปกว่าครึ่ง โดยในการพิสูจน์หลักฐานขั้นต้น แสดงให้เห็นว่าอาวุธที่ใช้โจมตีเป็นของทางอิหร่าน และ ณ ขณะนี้กำลังตรวจสอบแหล่งที่มาของการโจมตีดังกล่าวอย่างละเอียด

· นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ มีมุมมองว่า มีความเป็นไปได้สูงที่อิหร่านจะอยู่เบื้องเหตุการโจมตี Saudi Aramco เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ก็ไม่ได้เร่งรีบที่จะตอบโต้การโจมตีดังกล่าวแต่อย่างใด เนื่องจากไม่ต้องการให้เกิดเป็นสงคราม

ถ้อยแถลงล่าสุดของนายทรัมป์ ขัดแย้งกับถ้อยแถลงของเขาเองที่กล่าวสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยระบุว่า “สหรัฐฯพร้อมรบ” หลังเกิดเหตุโจมตีในซาอุดิอาระเบีย


นอกจากนี้ นายทรัมป์ยังได้ระบุว่า กำลังอนุมัติกลยุทธ์ปล่อยน้ำมันออกจากคลังสหรัฐฯ เพื่อช่วยหนุนปริมาณอุปทานน้ำมันในตลาด

· จากเหตุการณ์โจมตีโรงกลั่นน้ำมันขนาดใหญ่ของซาอุดิอาระเบีย ส่งผลให้นายโดนัลด์ ทรัมป์ สร้างแรงกดดันแก่เฟดเพิ่มเพื่อให้ทำการลดดอกเบี้ยครั้งใหม่ด้วยการปรับลดจำนวนมากผ่านทางทวิตเตอร์เมื่อวานนี้ โดยเฟดจะมีการประชุมในสัปดาห์นี้

อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์ก็มองว่า เหตุการณ์ดังกล่าวไม่น่าจะมีแนวโน้มให้เฟดปรับลดดอกเบี้ยไปมากกว่าที่ตลาดคาดการณ์ เนื่องจากเฟดเคยตอบโต้วิกฤตก่อการร้ายในเดือนก.ย. ปี 2001 และเหตุการณ์ก่อการร้ายช่วง Black Friday ในปี 1980 แต่การกระทำที่ผ่านมากลับสร้างปัญหาให้แก่ตลาดการเงิน รวมทั้งสร้างความเสี่ยงเป็นวงกว้างนั่นเอง

· รายงานจากรอยเตอร์ส ระบุว่า การเจรจาทางการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีนในระดับ Deputy-level มีกำหนดการจะเริ่มต้นขึ้น ณ กรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกาในวันพฤหัสบดีนี้ เพื่อเป็นการปูทางไปสู่การเจรจาระดับ High-Level ในเดือนต.ค ท่ามกลางการหาทางแก้ไขปัญหาทางสงครามการค้าระหว่างสองประเทศ

อย่างไรก็ดี โฆษกหน่วยงานตัวแทนเจรจาการค้าสหรัฐฯ หรือ USTR ก็ไม่ได้ให้รายละเอียดใดๆเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเจรจาในระดับ Deputy Level ดังกล่าว

· นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวว่า มีการบรรลุข้อตกลงขั้นแรกกับญี่ปุ่นในเรื่องกำแพงภาษีและการค้าสินค้าดิจิทัลโดยไม่ต้องผ่านการอนุมัติเห็นชอบจากทางสภาคองเกรส

· หลังจากที่รายงานจากเกาหลีใต้ระบุว่า นายคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ ได้มีการเขียนจดหมายเชิญนายทรัมป์เยือนกรุงเปียงยางของเกาหลีเหนือ เพื่อร่วมประชุมสุดยอดผู้นำ ล่าสุดนายทรัมป์ปฏิเสธที่ให้ตอบคำถามของสำนักข่าว โดยกล่าวเพียงแค่ว่า ความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศยังดำเนินไปได้ด้วยดี แต่เงื่อนไขต่างๆยังไม่พร้อมสำหรับการเดินทางเยือน

ทั้งนี้ นายทรัมป์ได้ระบุว่า ในระยะสั้นน่าจะเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเดินทางไปเยือนเกาหลีเหนือ แต่ในระยะยาวหรืออนาคตอันใกล้น่าจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

· ราคาน้ำมันดิบเมื่อวานนี้ปรับขึ้นไปได้ประมาณ 15% ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ Brent พุ่งขึ้นไปทำสูงสุดในรอบกว่า 30 ปี ด้วยปริมาณการซื้อขายที่มากที่สุดเป็นประวัติการณ์ หลังเกิดเหตุโจมตีโรงกลั่นน้ำมันสำคัญของซาอุดิอาระเบียที่บั่นทอนกำลังการผลิตไปกว่าครึ่งหนึ่ง ประกอบกับตลาดกลับมากังวลถึงการตอบโต้กันในตะวันออกกลาง

น้ำมันดิบ Brent ปิดปรับขึ้น 8.8 เหรียญ หรือคิดเป็น +14.6% ที่ระดับ 69.02 เหรียญ/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับอัตราเปอร์เซ็นต์การปรับขึ้นรายวันที่สูงที่สุดตั้งแต่ปี 1988 ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่สูงกว่า 2 ล้านคู่สัญญาณ และระหว่างวันมีการทำ All-Time ในส่วนของ Volume ซื้อขายเป็นประวัติการณ์


น้ำมันดิบ WTI ปิดปรับขึ้น 8.05 เหรียญ หรือ +14.7% ที่ระดับ 62.9 เหรียญ/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับอัตราเปอร์เซ็นต์การปรับขึ้นรายวันที่มากที่สุดตั้งแต่ธ.ค. ปี 2008

· นักวิเคราะห์พลังงานจาก Barclays กล่าวว่า สิ่งที่ตลาดประเมินว่าความเสี่ยงที่เกิดขึ้นในตลาดน้ำมันเป็นระดับ Premium และความผันผวนเนื่องจากไม่เคยเกิดเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน และจะเห็นได้ว่าไม่เคยเกิดเหตุการณ์ Gulf War แม้ว่ากลุ่มกบฏฮูติจะออกมารับว่าเป็นผู้กระทำการก่อเหตุ แต่ทางสหรัฐฯก็เชื่อว่าเป็นฝีมือของอิหร่าน


อย่างไรก็ดี เหตุการณ์ดังกล่าวได้ทำให้ราคาน้ำมันในวันอาทิตย์พุ่งขึ้นไปกว่า 20% ก่อนจะปิดเมื่อคืนนี้โดยภาพรวมมีการปิดปรับขึ้นประมาณ 14.5% แต่ก็ถือเป็นระดับการพุ่งขึ้นมากที่สุดตั้งแต่ก.พ. ปี 2016


· นักวิเคราะห์จาก Goldman Sachs มองว่า เหตุการณ์โจมตีดังกล่าวจะส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบ Brent ปรับขึ้นไปแตะ 75 เหรียญ/บาร์เรลได้ เนื่องจาก Brent เป็นน้ำมันในกลุ่มที่ค่อนข้างอ่อนไหวต่อเหตุการณ์ในตะวันออกกลาง และเมื่อ Brent แตะ 75 เหรียญได้ในช่วงประมาณ 3 สัปดาห์ ภาวะอุปทานน้ำมันของซาอุดิอาระเบียก็อาจปรับตัวลง แต่หากใช้เวลานานกว่านั้น ก็อาจเห็นตลาดน้ำมันเริ่มมีขาขึ้นที่แข็งแรง


· นักวิเคราะห์จาก Again Capital กลับมองว่า มีโอกาสเห็นราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นได้อีก ขึ้นอยู่กับว่าเหตุการณ์โจมตีมีความต่อเนื่อง หรือมีมาตรการตอบโต้ทางการทหารจากซาอุดิอาระเบีย, สหรัฐฯ และชาติอื่นๆอย่างไร ซึ่งหากความตึงเครียดดังกล่าวกลายเป็นสงครามที่รุนแรงขึ้น เมื่อนั้นเราอาจเห็นราคาน้ำมันดิบไปถึง 100 เหรียญได้ แต่จากภาพรวมไม่คิดว่าจะเห็นการเกิดสงครามแบบเร่งรีบ

· ผู้เชียวชาญจากสภาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (Council On Foreign Relations) มีมุมมองว่า รูปแบบของการโจมตี Saudi Aramco ในซาอุดิอาระเบียเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ไม่น่าจะเป็นภัยคุกคามกับบ่อน้ำมันในสหรัฐฯ

เนื่องจาก บ่อน้ำมันของสหรัฐฯ ส่วนใหญ่จะกระจายเป็นบ่อเล็กๆออกไปทั่วรัฐ ยกตัวอย่างเช่น บ่อน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในรัฐเท็กซัสและนิวเม็กซิโก อย่าง Permian Basin ก็กระจายออกไปทั่วทั้งสองรัฐ เป็นอาณาเขตกว่า 75,000 ตารางไมล์ (194,250 ตารางกิโลเมตร) เช่นเดียวกันกับโรงกลั่นน้ำมันของสหรัฐฯ ก็มีกระจายออกไปเป็นโรงงานเล็กๆ รอบบ่อน้ำมัน ตรงกันข้ามกับโรงกลั่นน้ำมันของซาอุดิอาระเบียที่ทำเป็นโรงงานขนาดใหญ่


นอกจากนี้ สหรัฐฯยังมีความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์มากกว่าซาอุฯ และไม่มีประเทศเพื่อนบ้านที่เป็นศัตรูกัน


บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com