ด้านดัชนีดอลลาร์ปรับแข็งค่าขึ้นได้ 0.2% บริเวณ 97.1 จุดในวันนี้ หลังจากที่ปรับอ่อนค่าลงเมื่อคืน เนื่องจากยอดค้าปลีกสหรัฐฯออกมาอ่อนแอกว่าที่คาด
นักวิเคราะห์จาก ING กล่าวว่า เป็นเรื่องยากที่จะประเมินทิศทางต่อไปของค่าเงินดอลลาร์ได้ โดยในช่วงต้นปีนี้ บรรดานักลงทุนมีการปรับพอร์ตเข้าสินทรัพย์เสี่ยง แต่ในปัจจุบันกระแสเริ่มกลับเข้ามาหาสินทรัพย์ปลอดภัย โดยหากมีความเคลื่อนไหวในเชิงลบออกมาจากการเจรจาการค้า ค่าเงินดอลลาร์ก็มีโอกาสปรับแข็งค่าขึ้นได้อีกครั้ง
ด้านค่าเงินยูโรปรับอ่อนค่าลง 0.2% บริเวณ 1.1274 ดอลลาร์/ยูโร โดยค่าเงินมีแนวโน้มปิดตลาดรายสัปดาห์ในแดนลบเป็นสัปดาห์ที่ 2 และปรับอ่อนค่าลงไปแล้ว 1.7% ในภาพรวมปีนี้ ท่ามกลางแรงกดดันจากตัวเลขเศรษฐกิจยูโรโซนที่อ่อนแอ
· ค่าเงินดอลลาร์เมื่อเทียบกับเงินเยน (USD/JPY) กำลังเคลื่อนไหวอยู่ในแดนลบที่บริเวณ 110.29 เยน/ดอลลาร์ และมีแนวโน้มที่จะลงมาทดสอบแนวรับสำคัญทางจิตวิทยาที่ 110.00 เยน/ดอลลาร์ เนื่องจากค่าเงินได้หลุดเส้นแนวรับของเทรนขาขึ้นลงมาในช่วงต้นตลาด
ขณะที่ Spread ระหว่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีของทั้งสหรัฐฯและญี่ปุ่น เริ่มส่งสัญญาณว่าอาจเกิดภาวะ Triangle breakdown ซึ่งหากเกิดขึ้นจริง อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯอายุ 10 ปี ก็มีแนวโน้มที่จะร่วงลงมาที่บริเวณ 2.55% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดของวันที่ 3 ม.ค. ขณะที่ค่าเงินเยนที่เป็น Safe-haven ก็จะได้แรงหนุนจากการปรับร่วงลงของพันธบัตรสหรัฐฯ
ทั้งนี้ ค่าเงิน USD/JPY จะมีแนวต้านอยู่ที่ระดับ 110.19 เยน/ดอลลาร์ ซึ่งเป็นเส้นค่าเฉลี่ยราย 10 วัน หากยืนเหนือระดับนี้ได้ จะทำให้ค่าเงินกลับมาเป็นทิศทางขาขึ้นอีกครั้ง
นางเทเรซ่า เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ประสบความพ่ายแพ้ในการลงมติหาเสียงสนับสนุนแนวทางการดำเนินนโยบาย Brexit ของเธอในคืนที่ผ่านมา ขณะที่กำหนดการถอนตัวออกจากอียูที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ และเหลือเวลาไม่ถึง 43 วัน ท่ามกลางความไร้ซึ่งความคืบหน้าที่ชัดเจนในรัฐสภา ทำให้หลายฝ่ายต่างกังวลว่าการถอนตัวของอังกฤษอาจจบลงไม่สวยนัก
ด้านค่าเงินปอนด์เมื่อคืนนี้ อ่อนค่าลงเล็กน้อยหลังทราบผลการลงมติ โดยยังคงเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบเดิม เนื่องจากการลงมติเป็นไปตามคาดการณ์ของตลาดส่วนหนึ่ง สำหรับแนวโน้มในอนาคต นางเมย์จะพยายามหาข้อตกลงร่วมกับอียูใหม่อีกครั้ง แต่นักวิเคราะห์มองว่าจะเป็นความพยายามที่ไร้ผลตอบแทน ดังนั้น หากเจรจากับอียูไม่สำเร็จ วันที่ 27 ก.พ. จะเป็นอีกวันที่มีการลงมติครั้งสำคัญว่ารัฐสภาจะมีมติขยายระยะเวลาของมาตรา 50 ออกไปหรือไม่
· นักวิเคราะห์จาก Goldman Sachs ระบุว่า สกุลเงินในตลาดเกิดใหม่มีผลประกอบการที่ค่อนข้างดี แม้เศรษฐกิจเหล่านี้จะเผชิญกับทิศทางการเติบโตที่ชะลอตัวลง รวมถึงในขณะที่นักลงทุนทั่วโลกต่างเข้าถือครองค่าเงินดอลลาร์มากขึ้น
นักวิเคราะห์ระบุว่า ค่าเงินสกุลหลักๆเป็นปัจจัยกดดันผลตอบแทนจากการถือครองสกุลเงินตลาดเกิดใหม่ แต่เชื่อว่าผลตอบแทนจากการถือครองสกุลเงินตลาดเกิดใหม่จะมีทิศทางที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ประกอบกับการปัจจัยพื้นฐานของตลาดเกิดใหม่เริ่มมีทิศทางที่สดใสขึ้นเรื่อยๆ
· นักวิเคราะห์จาก J.P. Morgan ระบุว่า กระแสคาดการณ์ของตลาดเกี่ยวกับการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนในปัจจุบัน คือการคาดหวังว่าทีมบริหารของประธานาธิบดีสหรัฐฯจะไม่มีการปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าขึ้นอีกในวันที่ 1 มี.ค. นี้แต่อย่างใด
ในขณะที่ดัชนี S&P 500 สัปดาห์นี้ สามารถปรับสูงขึ้นมาได้ 1% ท่ามกลางความหวังเกี่ยวกับการเจรจาทางการค้าเพียงปัจจัยเดียว
· เมื่อช่วงต้นสัปดาห์นี้ รายงานจาก Bloomberg ระบุว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กำลังพิจารณาจะขยายเดดไลน์ออกไปอีก 60 วันสำหรับการเจรจาการค้า ขณะที่รายงาน The South China Morning Post ระบุว่า นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน มีกำหนดจะพบกับตัวแทนการเจรจาของสหรัฐฯภายในวันนี้
นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ยังได้ประเมินว่า ท่าทีของสหรัฐฯดูจะโน้มน้าวไปยังการขยายระยะเวลาเพื่อหาข้อตกลงทางการค้ามากขึ้น ส่วนหัวข้อของการเจรจา สหรัฐฯยังคงยึดมั่นที่จะผลักดันให้จีนเข้าซื้อสินค้าจากสหรัฐฯมากขึ้น รวมถึงหามาตรการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาที่มีประสิทธิภาพ ขณะที่ทางจีนก็มีท่าทีจะยอมให้ความร่วมมือมากขึ้นแตกต่างกับในอดีต
ทั้งนี้ ข้อตกลงในการเจรจาสามารถเกิดขึ้นได้จริง แต่อาจไม่ใช้ข้อตกลงครั้งใหญ่ ซึ่งยังคงจำเป็นต้องอาศัยระยะเวลาในการทยอยแก้ไขปัญหาทางการค้าไปทีละขั้นทีละตอน และอาจใช้ระยะเวลาเป็นปีๆ
· สภาคองเกรสลงมติผ่านร่างงบประมาณไปด้วยคะแนนเสียงสนับสนุนอย่างท่วมท้น ทั้งในวุฒิสภาและในสภาผู้แทนราษฎรมีมติ พร้อมเตรียมส่งต่อไปให้นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ทำการลงนาม
อย่างไรก็ตาม ในร่างประมาณไม่ได้มอบงบสำหรับก่อสร้างกำแพงครบตามที่นายทรัมป์เคยร้องขอเอาไว้ โดยจะมอบงบประมาณให้เพียง 1 ใน 4 ของงบประมาณที่เรียกร้องไว้เท่านั้น ซึ่งทางนายทรัมป์ แม้จะระบุว่าจะทำการลงนามในร่างงบประมาณดังกล่าว แต่หลังจากลงนามแล้ว เขาจะดำเนินการประกาศภาวะฉุกเฉินเพื่อให้สามารถเรียกงบประมาณก่อสร้างกำแพงได้โดยไม่ต้องขอความเห็นชอบจากสภาคองเกรสในทันที
ทั้งนี้ ร่างงบประมาณจะมอบงบสนับสนุนหน่วยงานของภาครัฐไปได้จนถึงวันที่ 30 ก.ย. ขณะที่บรรดา ส.ส. และนายทรัมป์มีกำหนดถึงภายในคืนวันศุกร์นี้ ตามเวลาของสหรัฐฯ สำหรับการผลักดันให้ร่างงบประมาณมีผลบังคับใช้จริง และป้องกันไม่ให้รัฐบาลเข้าสู่ภาวะ Shutdown เป็นครั้งที่สอง
· นักวิเคราะห์จาก Goldman Sachs มองว่า โอกาสที่กำหนดการถอนตัวของจากอียูของอังกฤษเดิมในวันที่ 29 มี.ค. มีแนวโน้มสูงที่จะถูกเลื่อนออกไป เนื่องจากรัฐสภาอังกฤษยังคงไม่สามารถหานโยบายที่เป็นเอกฉันท์ได้ ไม่ว่าจะนโยบายBrexit ของนางเทเรซ่า เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ หรือแม้แต่การถอนตัวไป No-deal ดังนั้นกำหนดดังกล่าวจึงน่าจะถูกเลื่อนออกไป เพื่อให้เวลารัฐบาลอังกฤษในการหาตัวเลือก Brexit ที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจน้อยที่สุด
· ดัชนี CPI และ PPI ของจีนประกาศออกมาต่ำกว่าที่คาดการณ์ โดยดัชนี CPI เดือน ม.ค. ออกมาที่ +1.7% ในภาพรวมรายปี ต่ำกว่าที่ตลาดคาดไว้ที่ 1.8% ขณะที่ PPI ออกมาที่ +0.1% ในภาพรวมรายปี เทียบกับคาดการณ์ที่ +0.3%
TD Securities ประเมินว่า การที่ทั้ง 2 ดัชนีประกาศออกมาต่ำกว่าที่คาด ทำให้ตลาดเริ่มหันไปจับตาสัญญาณว่าภาวะเงินฝืดจะกลับเข้าสู่เศรษฐกิจจีนเมื่อใด นอกจากนี้ข้อมูลดังกล่าวยังบ่งชี้ถึงกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง ประกอบกับผลประกอบการของบริษัทที่ค่อนข้างอ่อนแอ ปริมาณความต้องการนำเข้าสินค้าสู่ประเทศจีนจึงอาจอ่อนแอลงตาม
· ยุโรปจะมีการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภาอียูขึ้นในวันที่ 23 – 26 พ.ค. ซึ่งการเลือกตั้งครั้งนี้จะเป็นที่ถูกจับตามากกว่าครั้งไหนๆ เนื่องจากกระแสต่อต้านระบบการบริหารงานของอียูในปัจจุบันเริ่มมีมากขึ้นเรื่อยๆ
ขณะที่จำนวนเก้าอี้ในรัฐสภาครั้งนี้อาจลดลงจากเดิมที่ 751 ที่นั่ง เป็น 705 ที่นั่ง เนื่องจากอังกฤษที่กำลังจะถอนตัวออกจากอียู
ศาสตราจารย์จาก HEC University ประเมินว่า ผลการเลือกตั้งครั้งนี้ อาจไม่มีฝ่ายครองเสียงข้างมากที่ชัดเจน ดังนั้นการผลักดันนโยบายใดๆในระดับภูมิภาคยูโรโซนอาจเป็นไปได้ยากลำบากยิ่งขึ้น
· ราคาน้ำมันดิบยังคงถูกกดัน แต่แพทเทิร์นกราฟแท่งเทียนตอนนี้ดูจะเป็นแบบ Bearish Evening Star Candlestick จึงต้องระวังต่อการปรับตัวขึ้น โดยหากราคาปิดเหนือ ระดับสูงสุดเมื่อ 4 ก.พ. บริเวณ 55.75 เหรียญ/บาร์เรล ก็มีโอกาสเห็นราคาน้ำมันดิบปรับขึ้นไปที่ 57.96-59.05 เหรียญ/บาร์เรลได้ แต่ในทางกลับกันหากราคาหลุดแนวรับ 50.15 เหรียญ และ 49.41 เหรียญ/บาร์เรลลงมา มีโอกาสเห็นราคาปรับตัวลงไปแถว 42.55 - 42.05 เหรียญ/บาร์เรล