• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคค่ำ) ประจำวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2562

    15 กุมภาพันธ์ 2562 | Economic News

·         บรรดาค่าเงิน Safe-haven รวมถึงค่าเงินเยน ต่างปรับแข็งขึ้นในวันนี้ หลังจากการประกาศตัวเลขยอดค้าปลีกสหรัฐฯออกมาเป็นที่ผิดหวังต่อตลาด ขณะที่หลายฝ่ายกำลังรอความคืบหน้าของการเจรจาการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ โดยเฉพาะผลลัพธ์ของการพบกันระหว่างนายสี จิ้นผิง ประธานาธิบจีน และนายสตีเว่น มนูชิน รัฐมนตรีกระทรวงการคลังแห่งสหรัฐฯ ที่มีกำหนดจะพบกันในวันนี้

ด้านดัชนีดอลลาร์ปรับแข็งค่าขึ้นได้ 0.2% บริเวณ 97.1 จุดในวันนี้ หลังจากที่ปรับอ่อนค่าลงเมื่อคืน เนื่องจากยอดค้าปลีกสหรัฐฯออกมาอ่อนแอกว่าที่คาด

นักวิเคราะห์จาก ING กล่าวว่า เป็นเรื่องยากที่จะประเมินทิศทางต่อไปของค่าเงินดอลลาร์ได้ โดยในช่วงต้นปีนี้ บรรดานักลงทุนมีการปรับพอร์ตเข้าสินทรัพย์เสี่ยง แต่ในปัจจุบันกระแสเริ่มกลับเข้ามาหาสินทรัพย์ปลอดภัย โดยหากมีความเคลื่อนไหวในเชิงลบออกมาจากการเจรจาการค้า ค่าเงินดอลลาร์ก็มีโอกาสปรับแข็งค่าขึ้นได้อีกครั้ง

ด้านค่าเงินยูโรปรับอ่อนค่าลง 0.2% บริเวณ 1.1274 ดอลลาร์/ยูโร โดยค่าเงินมีแนวโน้มปิดตลาดรายสัปดาห์ในแดนลบเป็นสัปดาห์ที่ 2 และปรับอ่อนค่าลงไปแล้ว 1.7% ในภาพรวมปีนี้ ท่ามกลางแรงกดดันจากตัวเลขเศรษฐกิจยูโรโซนที่อ่อนแอ

·         ค่าเงินดอลลาร์เมื่อเทียบกับเงินเยน (USD/JPY) กำลังเคลื่อนไหวอยู่ในแดนลบที่บริเวณ 110.29 เยน/ดอลลาร์ และมีแนวโน้มที่จะลงมาทดสอบแนวรับสำคัญทางจิตวิทยาที่ 110.00 เยน/ดอลลาร์ เนื่องจากค่าเงินได้หลุดเส้นแนวรับของเทรนขาขึ้นลงมาในช่วงต้นตลาด

ขณะที่ Spread ระหว่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีของทั้งสหรัฐฯและญี่ปุ่น เริ่มส่งสัญญาณว่าอาจเกิดภาวะ Triangle breakdown ซึ่งหากเกิดขึ้นจริง อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯอายุ 10 ปี ก็มีแนวโน้มที่จะร่วงลงมาที่บริเวณ 2.55% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดของวันที่ 3 ม.ค. ขณะที่ค่าเงินเยนที่เป็น Safe-haven ก็จะได้แรงหนุนจากการปรับร่วงลงของพันธบัตรสหรัฐฯ

ทั้งนี้ ค่าเงิน USD/JPY จะมีแนวต้านอยู่ที่ระดับ 110.19 เยน/ดอลลาร์ ซึ่งเป็นเส้นค่าเฉลี่ยราย 10 วัน หากยืนเหนือระดับนี้ได้ จะทำให้ค่าเงินกลับมาเป็นทิศทางขาขึ้นอีกครั้ง

นางเทเรซ่า เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ประสบความพ่ายแพ้ในการลงมติหาเสียงสนับสนุนแนวทางการดำเนินนโยบาย Brexit ของเธอในคืนที่ผ่านมา ขณะที่กำหนดการถอนตัวออกจากอียูที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ และเหลือเวลาไม่ถึง 43 วัน ท่ามกลางความไร้ซึ่งความคืบหน้าที่ชัดเจนในรัฐสภา ทำให้หลายฝ่ายต่างกังวลว่าการถอนตัวของอังกฤษอาจจบลงไม่สวยนัก

ด้านค่าเงินปอนด์เมื่อคืนนี้ อ่อนค่าลงเล็กน้อยหลังทราบผลการลงมติ โดยยังคงเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบเดิม เนื่องจากการลงมติเป็นไปตามคาดการณ์ของตลาดส่วนหนึ่ง สำหรับแนวโน้มในอนาคต นางเมย์จะพยายามหาข้อตกลงร่วมกับอียูใหม่อีกครั้ง แต่นักวิเคราะห์มองว่าจะเป็นความพยายามที่ไร้ผลตอบแทน ดังนั้น หากเจรจากับอียูไม่สำเร็จ วันที่ 27 ก.พ. จะเป็นอีกวันที่มีการลงมติครั้งสำคัญว่ารัฐสภาจะมีมติขยายระยะเวลาของมาตรา 50 ออกไปหรือไม่

·         นักวิเคราะห์จาก Goldman Sachs ระบุว่า สกุลเงินในตลาดเกิดใหม่มีผลประกอบการที่ค่อนข้างดี แม้เศรษฐกิจเหล่านี้จะเผชิญกับทิศทางการเติบโตที่ชะลอตัวลง รวมถึงในขณะที่นักลงทุนทั่วโลกต่างเข้าถือครองค่าเงินดอลลาร์มากขึ้น

นักวิเคราะห์ระบุว่า ค่าเงินสกุลหลักๆเป็นปัจจัยกดดันผลตอบแทนจากการถือครองสกุลเงินตลาดเกิดใหม่ แต่เชื่อว่าผลตอบแทนจากการถือครองสกุลเงินตลาดเกิดใหม่จะมีทิศทางที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ประกอบกับการปัจจัยพื้นฐานของตลาดเกิดใหม่เริ่มมีทิศทางที่สดใสขึ้นเรื่อยๆ

·         นักวิเคราะห์จาก J.P. Morgan ระบุว่า กระแสคาดการณ์ของตลาดเกี่ยวกับการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนในปัจจุบัน คือการคาดหวังว่าทีมบริหารของประธานาธิบดีสหรัฐฯจะไม่มีการปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าขึ้นอีกในวันที่ 1 มี.ค. นี้แต่อย่างใด

ในขณะที่ดัชนี S&P 500 สัปดาห์นี้ สามารถปรับสูงขึ้นมาได้ 1% ท่ามกลางความหวังเกี่ยวกับการเจรจาทางการค้าเพียงปัจจัยเดียว

·         เมื่อช่วงต้นสัปดาห์นี้ รายงานจาก Bloomberg ระบุว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กำลังพิจารณาจะขยายเดดไลน์ออกไปอีก 60 วันสำหรับการเจรจาการค้า ขณะที่รายงาน The South China Morning Post ระบุว่า นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน มีกำหนดจะพบกับตัวแทนการเจรจาของสหรัฐฯภายในวันนี้ 

นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ยังได้ประเมินว่า ท่าทีของสหรัฐฯดูจะโน้มน้าวไปยังการขยายระยะเวลาเพื่อหาข้อตกลงทางการค้ามากขึ้น ส่วนหัวข้อของการเจรจา สหรัฐฯยังคงยึดมั่นที่จะผลักดันให้จีนเข้าซื้อสินค้าจากสหรัฐฯมากขึ้น รวมถึงหามาตรการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาที่มีประสิทธิภาพ ขณะที่ทางจีนก็มีท่าทีจะยอมให้ความร่วมมือมากขึ้นแตกต่างกับในอดีต

ทั้งนี้ ข้อตกลงในการเจรจาสามารถเกิดขึ้นได้จริง แต่อาจไม่ใช้ข้อตกลงครั้งใหญ่ ซึ่งยังคงจำเป็นต้องอาศัยระยะเวลาในการทยอยแก้ไขปัญหาทางการค้าไปทีละขั้นทีละตอน และอาจใช้ระยะเวลาเป็นปีๆ

·         สภาคองเกรสลงมติผ่านร่างงบประมาณไปด้วยคะแนนเสียงสนับสนุนอย่างท่วมท้น ทั้งในวุฒิสภาและในสภาผู้แทนราษฎรมีมติ พร้อมเตรียมส่งต่อไปให้นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ทำการลงนาม

อย่างไรก็ตาม ในร่างประมาณไม่ได้มอบงบสำหรับก่อสร้างกำแพงครบตามที่นายทรัมป์เคยร้องขอเอาไว้ โดยจะมอบงบประมาณให้เพียง 1 ใน 4 ของงบประมาณที่เรียกร้องไว้เท่านั้น ซึ่งทางนายทรัมป์ แม้จะระบุว่าจะทำการลงนามในร่างงบประมาณดังกล่าว แต่หลังจากลงนามแล้ว เขาจะดำเนินการประกาศภาวะฉุกเฉินเพื่อให้สามารถเรียกงบประมาณก่อสร้างกำแพงได้โดยไม่ต้องขอความเห็นชอบจากสภาคองเกรสในทันที 

ทั้งนี้ ร่างงบประมาณจะมอบงบสนับสนุนหน่วยงานของภาครัฐไปได้จนถึงวันที่ 30 ก.ย. ขณะที่บรรดา ส.ส. และนายทรัมป์มีกำหนดถึงภายในคืนวันศุกร์นี้ ตามเวลาของสหรัฐฯ สำหรับการผลักดันให้ร่างงบประมาณมีผลบังคับใช้จริง และป้องกันไม่ให้รัฐบาลเข้าสู่ภาวะ Shutdown เป็นครั้งที่สอง

·         นักวิเคราะห์จาก Goldman Sachs มองว่า โอกาสที่กำหนดการถอนตัวของจากอียูของอังกฤษเดิมในวันที่ 29 มี.ค. มีแนวโน้มสูงที่จะถูกเลื่อนออกไป เนื่องจากรัฐสภาอังกฤษยังคงไม่สามารถหานโยบายที่เป็นเอกฉันท์ได้ ไม่ว่าจะนโยบายBrexit ของนางเทเรซ่า เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ หรือแม้แต่การถอนตัวไป No-deal ดังนั้นกำหนดดังกล่าวจึงน่าจะถูกเลื่อนออกไป เพื่อให้เวลารัฐบาลอังกฤษในการหาตัวเลือก Brexit ที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจน้อยที่สุด

·         ดัชนี CPI และ PPI ของจีนประกาศออกมาต่ำกว่าที่คาดการณ์ โดยดัชนี CPI เดือน ม.ค. ออกมาที่ +1.7% ในภาพรวมรายปี ต่ำกว่าที่ตลาดคาดไว้ที่ 1.8% ขณะที่ PPI ออกมาที่ +0.1% ในภาพรวมรายปี เทียบกับคาดการณ์ที่ +0.3%

TD Securities ประเมินว่า การที่ทั้ง 2 ดัชนีประกาศออกมาต่ำกว่าที่คาด ทำให้ตลาดเริ่มหันไปจับตาสัญญาณว่าภาวะเงินฝืดจะกลับเข้าสู่เศรษฐกิจจีนเมื่อใด นอกจากนี้ข้อมูลดังกล่าวยังบ่งชี้ถึงกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง ประกอบกับผลประกอบการของบริษัทที่ค่อนข้างอ่อนแอ ปริมาณความต้องการนำเข้าสินค้าสู่ประเทศจีนจึงอาจอ่อนแอลงตาม

·         ยุโรปจะมีการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภาอียูขึ้นในวันที่ 23 – 26 พ.ค. ซึ่งการเลือกตั้งครั้งนี้จะเป็นที่ถูกจับตามากกว่าครั้งไหนๆ เนื่องจากกระแสต่อต้านระบบการบริหารงานของอียูในปัจจุบันเริ่มมีมากขึ้นเรื่อยๆ

ขณะที่จำนวนเก้าอี้ในรัฐสภาครั้งนี้อาจลดลงจากเดิมที่ 751 ที่นั่ง เป็น 705 ที่นั่ง เนื่องจากอังกฤษที่กำลังจะถอนตัวออกจากอียู

ศาสตราจารย์จาก HEC University ประเมินว่า ผลการเลือกตั้งครั้งนี้ อาจไม่มีฝ่ายครองเสียงข้างมากที่ชัดเจน ดังนั้นการผลักดันนโยบายใดๆในระดับภูมิภาคยูโรโซนอาจเป็นไปได้ยากลำบากยิ่งขึ้น

image.png
·         ราคาน้ำมันดิบยังคงถูกกดัน แต่แพทเทิร์นกราฟแท่งเทียนตอนนี้ดูจะเป็นแบบ Bearish Evening Star Candlestick จึงต้องระวังต่อการปรับตัวขึ้น โดยหากราคาปิดเหนือ ระดับสูงสุดเมื่อ 4 ก.พ. บริเวณ 55.75 เหรียญ/บาร์เรล ก็มีโอกาสเห็นราคาน้ำมันดิบปรับขึ้นไปที่ 57.96-59.05 เหรียญ/บาร์เรลได้ แต่ในทางกลับกันหากราคาหลุดแนวรับ 50.15 เหรียญ และ 49.41 เหรียญ/บาร์เรลลงมา มีโอกาสเห็นราคาปรับตัวลงไปแถว 42.55 - 42.05 เหรียญ/บาร์เรล

 ·         ราคาน้ำมันดิบ Brent ปรับสูงขึ้นทำระดับสูงสุดของปี 2019 ที่ประมาณ 65 เหรียญ/บาร์เรลในช่วงต้นตลาดวันนี้ จากแรงหนุนของมาตรการปรับลดกำลังการผลิตของกลุ่ม OPEC และการปิดบ่อน้ำมันลงบางส่วนในซาอุดิอาระเบีย ก่อนที่ราคาจะปรับตัวลดลงท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจ

โดยราคาน้ำมันดิบ Brent ทำระดับสูงสุดรายวันที่ 65.10 เหรียญ/บาร์เรล และเป็นการยืนเหนือระดับ 65 เหรียญ/บาร์เรล เป็นครั้งแรกของปีนี้ ก่อนจะย่อตัวลงมาที่บริเวณ 64.69 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ภาพรวมยังคงปรับตัวขึ้นได้ 0.2%

ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวสูงขึ้น 4 เซนต์ ที่บริเวณ 54.45 เหรียญ/บาร์เรล

เทรดเดอร์กล่าวว่า ราคาน้ำมันได้รับแรงหนุนจากการปิดบ่อน้ำมัน Safaniyah ลงบางส่วน เนื่องจากเป็นบ่อน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในซาอุดิอาระเบียและมีปริมาณการผลิตมากกว่า 1 ล้านบาร์เรล/วัน

Related
บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com