• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 28 พฤศจิกายน 2561

    28 พฤศจิกายน 2561 | Economic News

• ค่าเงินดอลลาร์ปรับแข็งค่าขึ้นในรอบเกือบ 2 สัปดาห์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักส่วนใหญ่ หลังจากที่ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวว่า เขาต้องการเดินหน้าเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนต่อ จึงจุดประกายความกังวลเกี่ยวกับความตึงเครียดทางการค้า ขณะที่ค่าเงินปอนด์อ่อนค่าลงจากความกังวลที่ว่า นายทรัมป์ กล่าวว่า ข้อตกลง Brexit อาจทำให้การค้าระหว่างสหรัฐฯและอังกฤษดูจะมีความยากลำบากมากขึ้น

นอกจากนี้ ตลาดยังให้น้ำหนักไปยังการที่นายทรัมป์ กล่าวให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว WSJ ที่คาดว่าจะเดินหน้าเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนต่อจากระดับปัจจุบันที่ 10% สู่ระดับ 25% มูลค่า 2 แสนล้านเหรียญ

ดัชนีดอลลาร์ปรับแข็งค่าขึ้น 0.32% ที่ระดับ 97.39 จุด ซึ่งถือเป็นระดับแข็งค่ามากที่สุดในรอบเกือบ 2 สัปดาห์ ขณะที่ค่าเงินยูโรช่วงต้นตลาดร่วงลงไปทำระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ช่วงกลางเดือนพ.ย. บริเวณ 1.1288 ดอลลาร์/ยูโร ก่อนจะกลับมาทรงตัวที่ 1.1291 ดอลลาร์/ยูโร

• นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวโจมตีเฟดอีกครั้งในการให้สัมภาษณ์กับ The Washington Post เมื่อคืนนี้ โดยระบุว่า เขาไม่มีความพึงพอใจกับการบริหารของนายเจอโรม โพเวลล์ ประธานเฟด แม้แต่น้อย พร้อมระบุว่า การดำเนินงานของเฟดหลุดออกจากกรอบที่พวกเขาควรอยู่มากเกินไป

ทั้งนี้ ถ้อยแถลงของนายทรัมป์เกิดขึ้นก่อนหน้าที่นายโพเวลล์จะขึ้นกล่าวถ้อยแถลงในที่ประชุม Economic Club ณ เมืองนิวยอร์ก ในช่วงเที่ยงคืนวันนี้ ตามเวลาประเทศไทย โดยคาดว่านายโพเวลล์จะไม่มีการส่งสัญญาณการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่เปลี่ยนแปลงไปจากแผนเดิมแต่อย่างใด ขณะที่ตลาดยังคงคาดการณ์ว่าเฟดจะทำการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือน ธ.ค. ตามเดิม

• รองประธานสาขาเอเชียแปซิฟิกของ J.P. Morgan Chase กล่าวว่า เศรษฐกิจจีนจะยังเป็นหนึ่งในประเทศของโลกที่มีการขยายตัวได้อย่างรวดเร็ว แม้ว่าเศรษฐกิจจีนจะมีแนวโน้มชะลอตัวลงมาบ้างแต่ก็ไม่ได้มีทิศทางที่เสียหายอย่างไร โดยคาดว่าเศรษฐกิจจีนจะชะลอตัวลงจากระดับ 6.6% มาที่ระดับ 6.1% ในปีหน้า ขณะที่จีนก็พยายามที่จะปรับลดระดับการขยายตัวของหนี้สิน และความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นจากกลุ่มผู้บริโภคและการลงทุนที่ชะลอตัวในประเทศ อาทิ กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่จะชะลอตัวลง

ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯในปีหน้ามีแนวโน้มจะชะลอตัวลง จากผลกำไรภาคบริษัทที่ปรับตัวลง ประกอบกับผลจากนโยบายปรับลดภาษีที่เลือนลางไป

• เอกอัครราชทูตจีนประจำกรุงวอชิงตันแห่งสหรัฐฯ ระบุว่าจีนมีความหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการประชุม G-20 ในสัปดาห์นี้ จะสามารถช่วยบรรเทาความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯได้ พร้อมกล่าวเตือนว่าเศรษฐกิจโลกจะได้รับผลกระทบที่ “ร้ายแรง”หากสหรัฐฯพยายามแบ่งแยกการค้าระหว่างทั้ง 2 ประเทศออกจากกันโดยสิ้นเชิง

อย่างไรก็ตาม เอกอัครราชทูตไม่สามารถแสดงความคิดเห็นว่าสหรัฐฯจะสามารถแบ่งแยกทั้ง 2 เศรษฐกิจออกจากกันโดยสิ้นเชิงได้จริงหรือไม่ แต่ได้กล่าวว่าตลาดอาจยังไม่รับรู้ถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจริง หากเกิดการแบ่งแยกดังกล่าว

นอกจากนี้ ยังได้แสดงความเห็นว่า ยังไม่มีความชัดเจนว่าการที่ทั้งสองฝ่ายตอบโต้กันไปมาด้วยการปรับขึ้นภาษี จะนำไปสู่สงครามการค้าเต็มรูปแบบหรือไม่ แต่ได้กล่าวว่าทั้ง 2 ฝ่ายควรทำทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้เกิดสงครามการค้าขึ้น

• นายวู้ดดี้ จอห์นสัน เอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำสหราชอาณาจักร ระบุว่า นโยบาย Brexit เป็นสิ่งที่ชาวอังกฤษต้องตัดสินกันเอง แต่สหรัฐฯจะยังคงให้ความร่วมมือกับอังกฤษในการเขียนร่างสนธิสัญญาการค้าระหว่างทั้ง 2 ประเทศร่วมกันต่อไป

• รัฐบาลอังกฤษและบีโออี มีแนวโน้มที่จะกล่าวย้ำเตือนประชาชนอังกฤษเกี่ยวกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจ หากอังกฤษถอนตัวออกจากอียูแบบ No-deal ซึ่งอาจเป็นการช่วยสนับสนุนให้นางเทเรซ่า เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ สามารถรับมือกับเสียงคัดค้านข้อตกลง Brexit จากภายในรัฐสภาได้ดีขึ้น ก่อนหน้าที่จะมีการลงมติจริงในวันที่ 11 ธ.ค. นี้

ขณะที่ทางด้านนายมาร์ค คาร์นีย์ ผู้ว่าบีโออี ได้เคยกล่าวเตือนเอาไว้ว่า หากอังกฤษถอนตัวแบบ No-deal ผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจ อาจเทียบเท่ากับวิกฤติน้ำมันในปี 1970

• นางเทเรซ่า เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ จะพยายามเจรจากับพรรคสกอตแลนด์ในรัฐสภาภายในวันนี้ เพื่อโน้วน้าวให้พวกเขาเห็นถึงผลประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมประมงของสกอตแลนด์ หากข้อตกลง Brexit ของนางเมย์ได้รับเสียงสนับสนุนมากพอ

โดยนางเมย์จะกล่าวว่า ข้อตกลงดังกล่าวจะเป็นการช่วยปกป้องตลาดแรงงานในสกอตแลนด์ และจัดตั้งให้เป็นเขตการค้าเสรีที่ไม่เคยมีเศรษฐกิจใหญ่ๆรายไหนทำมาก่อน ในขณะเดียวเธอก็จะพยายามหาข้อตกลงทางการค้าร่วมกับประเทศอื่นๆทั่วโลก เพื่อส่งเสริมโอกาสในการส่งออกสินค้าของสกอตแลนด์

ทั้งนี้ นางเมย์ต้องการเสียงสนับสนุนให้ได้มากพอในการลงมติข้อตกลง Brexit ในวันที่ 11 ธ.ค. นี้ ซึ่งหนทางดังกล่าวยังดูไม่ค่อยสดใสนักในปัจจุบัน ในขณะที่มี ส.ส. จากพรรคสกอตแลนด์ถึง 35 คน จากทั้งหมด 59 คน ในรัฐสภาที่คัดค้านข้อตกลงดังกล่าว

• น้ำมันดิบ Brent ปิดลง 27 เซนต์ ที่ระดับ 60.21 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่น้ำมันดิบ WTI ปิดลดลง 7 เซนต์ ที่ระดับ 51.56 เหรียญ/บาร์เรล โดยราคาน้ำมันดิบมีการปรับตัวลงไปทำระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนต.ค. ปี 2017 ในสัปดาห์ที่ผ่านมา โดย Brent ลงไปแถว 58.41 เหรียญ ขณะที่ WTI ทำ Low 50.15 เหรียญ และส่งผลให้ภาพรวมน้ำมันดิบ 2 ประเภทร่วงลงแล้วกว่า 30% นับตั้งแต่ช่วงต้นเดือนต.ค. ท่ามกลางความวิตกกังวลที่ว่าภาวะอุปทานน้ำมันโลกจะปรับตัวสูงขึ้น ในขณะที่ตลาดการเงินมีความอ่อนตัว

ราคาน้ำมันดิบปิดปรับตัวลงเพราะได้รับแรงกดดันจากความไม่แน่นอนในเรื่องสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน รวมทั้งสัญญาณการผลิตน้ำมันในตลาดโลกที่เพิ่มสูงขึ้น แต่การปรับตัวลงของตลาดเมื่อวานเป็นไปอย่างจำกัด เพราะมีกระแสคาดการณ์ว่า บรรดาผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่จะสามารถบรรลุข้อตกลงร่วมกันได้ในการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันในที่ประชุม OPEC ที่จะมาถึงนี้

แม้ว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯจะมีการเปิดกว้างในการเจรจาทางการค้ากับจีน แต่ก็มีแผนจะเรียกเก็บภาษีสินค้าจากจีนเพิ่มหากยังไม่สามารถหารือทางการค้าร่วมกันได้ โดยในคืนวันเสาร์ นายทรัมป์ มีกำหนดการนัดทานอาหารเย็นกับประธานาธิบดีจีน ซึ่งทางสหรัฐฯคาดว่าการร่วมรับประทานอาหารระหว่างสองผู้นำจะสร้างโอกาสที่ดีในการหารือเรื่องการค้าระหว่างกัน แต่หากสหรัฐฯได้รับความผิดหวังก็อาจมีการตอบโต้กลับทางการค้าต่อได้

• ตลาดให้ความสำคัญไปยังการประชุมสุดยอดผู้นำ G20 ระหว่างวันที่ 30 พ.ย. – 1 ธ.ค. เกี่ยวกับประเด็น Trade War ระหว่างสหรัฐฯและจีน ประกอบกับ การพบกันของ 3 ผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่อย่าง รัสเซีย, สหรัฐฯ และซาอุดิอาระเบีย ที่คาดว่าในการประชุม G20 อาจมีการหารือถึงนโยบายน้ำมัน

• ทางการเกาหลีใต้ เผยว่า นายคิม จองอึน ผู้นำสูงสุดแห่งเกาหลีเหนือมีความตั้งใจจะอนุญาตให้กลุ่มผู้ตรวจสอบพื้นที่ผลิตอาวุธนิวเคลียหลักในกรุงยังบยอน

บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com