นายแฮรี่ โคลวิน ผู้บริหารและนักเศรษฐศาสตร์อาวุโสประจำ Longview Economics ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว Reuters โดยนายแฮรี่คาดการณ์ว่า ราคาน้ำมันในช่วงไตรมาสที่ 1/ 2018 จะยังไม่สามารถฟื้นตัวได้ เนื่องจากยังคงมีปัจจัยกดดันราคาอยู่
ซึ่งปัจจัยดังกล่าว คือปริมาณการผลิตน้ำมันจากสหรัฐฯที่กำลังขยายตัวและกดดันการเคลื่อนไหวของตลาดน้ำมัน รวมถึงสร้างความตึงเครียดทางการเมืองให้กับบรรดาประเทศในตะวันออกกลาง
ทั้งนี้ สาเหตุที่ราคาน้ำมันสามารถปรับตัวสูงขึ้นได้ในช่วงปี 2017 เกิดจากมาตรการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันจากกลุ่มโอเปกและผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ที่ให้ความร่วมมือ
ทิศทางต่อไปของอัตราการผลิตน้ำมันในสหรัฐฯ
ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา บรรดาผู้ผลิตน้ำมันในสหรัฐฯได้สร้างความประหลาดใจให้กับตลาด ด้วยการเพิ่มปริมาณการผลิตอย่างต่อเนื่องและรวดเร็วท่ามกลางราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยส่วนหนึ่งเกิดจากการที่บรรดาผู้ผลิตในสหรัฐฯนำน้ำมันสต็อกปล่อยเข้าสู่ตลาดจำนวนมาก
นายโคลวินจึงคาดว่า ราคาน้ำมัน มีแนวโน้มสูงที่จะปรับตัวลดลงสู่บริเวณ 50 เหรียญ/บาร์เรล ในช่วงปลายไตรมาสที่ 1/2018 โดยยังมีโอกาสที่ราคาจะลงร่วงลงไปทำจุดต่ำสุดได้ถึงระดับ 45 เหรียญ/บาร์เรล
ปัจจัยที่จะยุติความผันผวนในตลาดน้ำมัน
กลุ่มโอเปก รัสเซีย และบรรดาผู้ผลิตน้ำมันอีก 9 ประเทศ มีมติอย่างเป็นเอกฉันท์เมื่อปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยจะขยายระยะเวลาของมาตรการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันลงจำนวน 1.8 ล้านบาร์เรล/วัน ออกไปจนถึงสิ้นปี 2018
ซึ่งนักวิเคราะห์จาก Citi มองว่าปัจจัยดังกล่าวจะเป็นตัวยุติความผันผวนที่กำลังเกิดขึ้นในตลาดน้ำมัน
ปัจจัยที่จะกระตุ้นในราคาน้ำมันกลับเข้าสู่ขาขึ้น
นายสตีเฟ่น เบรนนอค นักวิเคราะห์จาก PVM Oil Associates ประเมินว่าปัจจัยที่จะเป็นตัวกระตุ้นให้ราคาน้ำมันกลับเข้าศู่ทิศทางขาขึ้นคือ ความตึงเครียดทางการเมือง โดยแนะนำให้จับตาปัญหาความขัดแย้งระหว่าง อิหร่าน ซาอุดิอาระเบีย และสหรัฐฯ
ทั้งนี้ ปัญหาหนี้สินของประเทศเวเนซูเอลา ที่เป็นหนึ่งในสมาชิกของกลุ่มโอเปก เป็นเพียงเรื่องของเวลาแล้วว่าปัญหาดังกล่าวจะเลวร้ายลงเมื่อไหร่ ซึ่งถ้าหากเกิดขึ้น ก็จะส่งผลกระทบต่อปริมาณการผลิตของกลุ่มโอเปก
นอกจากนี้ บรรดาประเทศในทวีปอเมริกาใต้ที่เป็นแหล่งน้ำมันขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ยังคงมีปัญหาความตึงเครียดทางการเมืองที่กำลังก่อตัวขึ้น ขณะที่ปริมาณการผลิตของประเทศเหล่านั้นได้ปรับลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 30 ปี
ที่มา: CNBC