• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 2 ตุลาคม 2560

    2 ตุลาคม 2560 | Economic News


 

·         ค่าเงินดอลลาร์คืนวันศุกร์ขยับเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย หลังจากที่ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯออกมาขัดแย้งกัน แต่ภาพรวมรายสัปดาห์ปรับสูงขึ้นจากกระแสคาดการณ์ที่ว่าเฟดจะทำการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ท่ามกลางแนวโน้มเงิเนฟ้อที่น่าจะปรับสูงขึ้น โดยภาพรวมรายสัปดาห์ค่าเงินดอลลาร์อยู่ในทิศทางแข็งค่าเกือบ 1% จึงทำให้ภาพรวมเดือนนี้ขยับขึ้นได้เป็นเดือนแรกนับตั้งแต่เดือนก.พ.

ขณะที่ดัชนีดอลลาร์ทรงตัว 93.02 จุด หลังจากที่ปรับขึ้นได้ 0.9% ในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งถือเป็นสัปดาห์ที่ดีที่สุดในเดือนก.ย. ขณะที่เช้านี้ดัชนีดอลลาร์อยู่ที่ 93.26 จุด

ด้านค่าเงินยูโรขยับขึ้นเล็กน้อยบริเวณ 1.1824 ดอลลาร์/ยูโร และค่าเงินเยนทรงตัวบริเวณ 112.43 เยน/ดอลลาร์

·         นายแพทริก ฮาเกอร์ ประธานเฟดสาขาฟิลาเดเฟีย มีมุมมองเช่นเดิมในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนธ.ค. ขณะที่ปีหน้าเชื่อว่าจะมีโอกาสขึ้นได้อีก ครั้ง แม้ว่าเงินเฟ้อจะอ่อนแอ แต่ตลาดแรงงานก็ยังคงแข็งแกร่ง

·         นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯสัมภาษณ์ผู้มีคุณสมบัติที่จะมาดำรงตำแหน่งประธานเฟดคนต่อไปจำนวน 4 คน โดยจะทำการตัดสินใจในอีก 2-3 สัปดาห์ข้างหน้า หลังจากที่ล่าสุดมีการเข้าพบกับนายเควิน วอช อดีตสมาชิกบอร์ดบริหารของเฟด

ขณะที่รายงานจาก Bloomberg ก็เผยว่า นายทรัมป์ ได้เคยมีการพูดคุยกับ นายแกรี โคห์น เพื่อทาบทามมาดำรงตำแหน่งประธานเฟดเช่นกัน

อย่างไรก็ดี นายทรัมป์ เคยให้สัญญาณว่า นางเจเน็ต เยลเลน มีสิทธิที่จะกลับมาดำรงตำแหน่งประธานเฟดต่อจากที่จะครบกำหนดวาระในเดือน ก.พ. ปีหน้า ขณะที่ในช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา นายทรัมป์ก็มีการเข้าพบกับ นายเจอโรม โพเวลล์ สมาชิกบอร์ดบริหารของเฟด แม้ว่ารายงานจาก Wall Street Journal จะไม่ได้ระบุถึงรายละเอียดการเข้าพบกันก็ตาม

·         สำหรับประธานเฟดคนใหม่อาจต้องมาดำเนินการปรับลดนโยบายการเงินออกจากยุคนโยบายในช่วงเกิดวิกฤต เพื่อตอบรับกับความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ และการลดลงของอัตราการว่างงาน แม้ว่าเงินเฟ้อจะต่ำกว่าระดับเป้าหมาย 2%

·         รายงานจากรอยเตอร์ส ระบุว่า การเข้าพบกันระหว่างนายทรัมป์และนายวอชล่าสุดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ได้สร้างความผันผวนให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากนายวอชดูจะมีท่าทีคุมเข้มทางการเงินมากกว่านางเยลเลน

·         รายงานจาก CNBC ชี้ว่า โอกาสการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดในเดือนธ.ค.นี้ น่าจะส่งผลต่อตลาดการเงินของเอเชียอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะสถานะการถือครอง ท่ามกลางผลการประชุมล่าสุดของเฟดที่แสดงให้เห็นว่า เฟดมีคาดการณ์ระดับอัตราดอกเบี้ยในช่วงสิ้นปีนี้บริเวณ 1.4% ขณะที่เครื่องมือ FedWatch ของ CME Group ล่าสุดชี้ว่าเฟดมีโอกาส 72.8% ที่จะขึ้นดอกเบี้ยในเดือน ธ.ค.และตลาดมองว่า มีโอกาสที่เฟดจะทำการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีหน้า 2 ครั้ง

·         รายงานจากเฟดสาขานิวยอร์ก มีการปรับลดการขยายตัวของจีดีพีไตรมาสที่ 3 และ 4 ลง จากผลกระทบของยอดขายบ้านใหม่และยอดค่าใช้จ่ายผู้บริโภคในเดือนส.ค. โดยคาดว่าไตรมาสที่ 3 จะขยายตัวได้เพียง 1.46จากประมาณการณ์เดิม 1.56และในไตรมาสที่ 4 คาดว่าจะขยายตัวได้ 1.95จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ในช่วงต้นสัปดาห์ที่แล้วที่ระดับ 2.01%


·         ทางด้านนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ก็มุมมองว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯในไตรมาสที่ 3 มีแนวโน้มจะปรับลดลง เพราะได้รับผลกระทบจากพายุเฮอริเคนเมื่อไม่นานนี้ที่พัดถล่มทิศตะวันตกเฉียงใต้ และตะวันออกเฉียงใต้


·         รายงานจากสำนักงานที่ไม่หวังผลกำไรซึ่งเป็นศูนยน์กลางด้านภาษีของสหรัฐฯ กล่าวว่า ผู้มีฐานะร่ำรวยของอเมริกาอาจได้รับประโยชน์จากแผนปรับลดภาษีของนายทรัมป์ ขณะเดียวกันชนชั้นกลางอาจเผชิญกับอัตราภาษีที่สูงขึ้น โดยคาดว่าในปี 2018 จำนวนผู้เสียภาษีประมาณ 12ของผู้มีรายได้ปานกลางจะเผชิญกับกับการเสียภาษีเพิ่มขึ้นเฉลี่ยประมาณ 1,800 เหรียญ และนั่นจะหมายความว่าเกินกว่า 3 ในส่วนของผู้จ่ายภาษีระหว่าง 150,000 – 300,000 เหรียญ เพราะอาจถูกหักภาษีเงินได้แบบแยกรายการที่อาจมาแทนที่ภาษีภาครัฐฯและภาษีท้องถิ่น

ขณะที่นักวิเคราะห์บางส่วน มีมุมมองว่า การปรับลดภาษีของทางพรรครีพับลิกันจะส่งผลให้ยอดขาดดุลของประเทศเพิ่มสูงขึ้นประมาณ 5.99 ล้านล้านเหรียญ ขณะเดียวกันก็จะส่งผลให้รายได้ภาครัฐลดลงสุทธิ 2.4 ล้านล้านเหรียญในอีก 10 ปีข้างหน้า

·         นายสตีเฟน มนูชิน รัฐมนตรีกระทรวงการคลัง เผยว่า หนึ่งในเป้าหมายการปรับลดภาษีของทรัมป์มีเพื่อช่วยเป้าหมายชนชั้นกลาง แต่ก็ไม่อาจการันตีได้ว่าชนชั้นกลางทุกๆครอบครัวจะได้รับการปรับลดภาษี

·         นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และภรรยา จะเดินทางเยี่ยมประเทศในทวีปเอเชียอย่างเป็นทางการครั้งแรกนับตั้งแต่รับตำแหน่ง ในช่วงวันที่ 3 - 14 พ.ย.นี้ โดยจะเดินทางไปยังประเทศญี่ปุ่น เกาหลีใต้ จีน เวียดนาม และฟิลิปปินส์ ยอกจากนี้นายทรัมป์จะเข้าร่วมการประชุมสำคัญ งาน ซึ่งได้แก่การประชุมเขตเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก จัดขึ้นที่เวียดนาม และการประชุมเขตเศรษฐกิจเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จัดขึ้นที่ฟิลิปปินส์

 

·         ผลสำรวจภาคอุตสาหกรรม ชี้ว่า การขยายตัวของภาคเอกชนในอังกฤษชะลอตัวลงในรอบ 3 เดือนจนถึงเดือนก.ย. แม้ว่าบรรดาบริษัทต่างๆส่วนใหญ่จะมีแนวโน้มที่ดีในอีก 3 เดือนข้างหน้า ซึ่งดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมที่เป็นตัวชี้วัดผลผลิตของภาคอุตสาหกรรม ยอดค้าปลีก และการบริการร่วงลงแตะระดับ 11 จุด จากระดับ 14 จุด ในเดือนส.ค.

 

·         ธนาคารกลางจีนกล่าวว่าจะยังคงดำเนินนโยบายด้วยความรอบคอบและใช้เครื่องมือทางการเงินต่างๆเพื่อรักษาสภาพคล่องให้คงที่ และจะยังใช้แผนปฏิรูปอัตราดอเบี้ยรวมทั้งอัตราแลกเปลี่ยนอย่างต่อเนื่องและเพื่อให้ค่าเงินหยวนอยู่ในสภาวะเสถียรภาพ

·         ข้อมูลภาคการผลิตของจีนประจำเดือนก.ย.ขยายตัวเร็วที่สุดนับตั้งแต่ปี 2012เนื่องจากโรงงานสามารถผลิตสินค้าได้มากขึ้นเพื่อรองรับความต้องการและราคาที่สูงขึ้นช่วยผ่อนคลายความกังวลเกี่ยวกับการการชะลอตัวของเศรษฐกิจก่อนการประชุมทางการเมืองที่สำคัญในเดือนหน้า

ยอดคำสั่งซื้อสินค้าใหม่และราคาผลผลิตทั้งหมดปรับตัวสูงขึ้นมากที่สุดในรอบ 1 ปี ขณะที่การภาคก่อสร้างยังคงชะลอตัว โดยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ประจำเดือนก.ย.ปรับตัวสูงขื้นที่ระดับ 52.4 จุด จากเดิมที่ระดับ 51.7 ในเดือนก่อนหน้า

·         รายงานจากหน่วยข่าวกรองสหรัฐฯและเกาหลีใต้เผย ตรวจพบการเคลื่อนย้ายขีปนาวุธจำนวนหนึ่งออกจากโรงงานผลิตขีปนาวุธในกรุงเปียงหยางของเกาหลีเหนือ โดยที่ไม่ทราบจุดหมายปลายทาง ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญคาดว่าเกาหลีเหนืออาจเตรียมการบางอย่างที่เกี่ยวกับการแสดงศักยภาพทางการทหารอีกครั้ง


·         สำนักข่าวเกาหลีเหนือเผยว่า ทางเกาหลีเหนือไม่มีท่าทีสนใจที่จะร่วมหารือเพื่อเจรจาเกี่ยวกับโครงการอาวุธนิวเคลียร์ หลังจากที่นายเร็กซ์ ทิลเลอร์สัน รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศได้ต่อสายตรงไปยังเกาหลีเหนือ


·         ยอดส่งออกของเกาหลีใต้กับคู่ค้าหลัก ประกอบไปด้วยสหรัฐฯ, จีน และอียู มียอดขยายตัวเพิ่มขึ้นเท่าตัวในเดือนก.ย. โดยยอดขนส่งสู่สหรัฐฯเพิ่มขึ้นสู่ 28.9% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ขณะยอดส่งออกไปยังจีนและอียูเพิ่มขึ้น 23.4และ 23% ตามลำดับ

 

·         ราคาน้ำมันดิบปิดปรับตัวสูงขึ้น ท่ามกลางความไม่มีเสถียรภาพทางการเมืองจากประเด็นชาวเคิร์ดในอิรัก จึงหนุนให้ราคาน้ำมันดิบ Brent มีภาพรวมในไตรมาสที่ 3 นี้ดีที่สุดนับตั้งแต่ปี 2004

น้ำมันดิบ Brent ปิดปรับขึ้น 13 เซนต์ หรือคิดเป็น +0.2% ที่ระดับ 57.54 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ภาพรวมสัปดาห์นี้ปรับขึ้น1.7% แต่ภาพรวมไตรมาสที่ 3 ราคาทะยานขึ้นได้ 20%

ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ Brent พุ่งขึ้นทำจุดสูงสุดในรอบกว่า 2 ปี ในช่วงต้นสัปดาห์ จึงทำให้เป็นสัปดาห์การฟื้นตัวต่อเนื่องสัปดาห์ที่ 5 และส่งผลให้มีทิศทางขาขึ้นยาวนานที่สุดนับตั้งแต่ มิ.ย. 2016

- ราคาน้ำมันดิบ WTI ปิดปรับขึ้น 11 เซนต์ ที่ระดับ 51.67 เหรียญ/บาร์เรล โดยภาพรวมไตรมาสที่ 3 ของปีนี้แข็งแกร่งมากที่สุดในรอบ 10 ปี และมีการฟื้นตัวยาวนานที่สุดนับตั้งแต่เดือน ม.ค. ที่ผ่านมา ขณะที่ภาพรวมสัปดาห์ที่แล้วปรับขึ้นได้ 2%

อย่างไรก็ดี หลังจากที่ชาวเคิร์ดในอิรักทำการลงประชามติเมื่อวันจันทร์ที่แล้วในการแยกตัวออกจากอิรักด้วยคะแนนเสียงส่วนใหญ่ 9:1 ก็ดูจะสร้างความไม่พอใจให้แก่ตุรกี รัฐบาลกลางอิรัก และชาติมหาอำนาจอื่นๆ ที่อาจนำไปสู่ความขัดแย้งเกี่ยวกับภูมิภาคที่ผลิตน้ำมันรายใหญ่ได้

·         ขณะที่ประธานาธิบดีตุรกีประณามการลงมติที่ผิดกฎหมายและข่มขู่จะยุติการร่วมมือและข้อตกลงกับรัฐบาลกลางอิรัก ตลอดจนการส่งออกน้ำมันจากอิรัก

บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com