• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 26 กันยายน 2560

    26 กันยายน 2560 | Economic News


 

·         ค่าเงินเยนปรับแข็งค่าขึ้นจากภาวะความตึงเครียดบริเวณคาบสมุทรเกาหลีที่กลับมาเป็นประเด็นร้อนแรง และทวีความรุนแรงในเชิงภาวะสงครามมากขึ้นระหว่างเกาหลีเหนือ-สหรัฐฯ ขณะที่ค่าเงินยูโรเคลื่อนไหวใกล้ระดับต่ำสุดในรอบ 4 สัปดาห์เมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์

โดยค่าเงินเยนปรับแข็งค่าลงมาที่ระดับ 111.76 เยน/ดอลลาร์ หลังจากที่ขึ้นไปทำระดับอ่อนค่ามากที่สุดเมื่อวานนี้บริเวณ 112.53 เยน/ดอลลาร์

ทางด้านค่าเงินยูโรทรงตัวแถวระดับ 1.1856 ดอลลาร์/ยูโรในเช้าวันนี้ หลังจากที่ลงไปทำระดับต่ำสุดเมื่อคืนนี้บริเวณ 1.1832 ดอลลาร์/ยูโร ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ 31 ส.ค. โดยภาพรวมเมื่อวานนี้ร่วงลงประมาณเกือบ 1%

ดัชนีดอลลาร์ร่วงลงมาที่ระดับ 92.61 จุด หลังจากที่ขึ้นไปทำระดับสูงสุดในรอบ 3 สัปดาห์บริเวณ 92.724 จุด

·         รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของเกาหลีเหนือ กล่าวว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ทำการประกาศสงครามกับเกาหลีเหนือ และเกาหลีเหนือมีสิทธิจะทำการตอบโต้ อาทิ การยิงเครื่องบินทิ้งระเบิดของสหรัฐฯ เว้นเสียแต่พวกเขาจะไม่บินผ่านน่านฟ้าของเกาหลีเหนือ

ทั้งนี้ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวอ้าง คำพูดทางทวีตเตอร์ของนายทรัมป์เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ที่ได้ทำการกล่าวเตือนรัฐมนตรีและนายคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือว่า “เกาหลีเหนือน่าจะอยู่ได้อีกไม่นาน” หากพวกเขาดำเนินการคุกคามสหรัฐฯ ซึ่งคำพูดดังกล่าวถือเป็นการประกาศสงคราม

ขณะที่ทางโฆษกจากทำเนียบขาวปฏิเสธว่าสหรัฐฯทำการประกาศสงคราม และมองว่าเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่อง “ไร้สาระ”

·         สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯล้มเหลวในการอนุมัติร่างกฎหมายเพื่ออนุมัติให้สำนักงานบริหารการบินแห่งชาติ หรือ FAAสามารถดำเนินการต่อไปได้อีก 6 เดือน รวมทั้งแพ็คเกจการปฏิรูปภาษีเพื่อช่วยบรรเทาผู้ประสบภัยจากพายุเฮอริเคน หลังจากที่เผชิญเสียงคัดค้านจากทางพรรคเดโมแครต

·         นางซูซาน โคลินส์ ส.ส.พรรครีพับลิกัน ยังคงยืนยันที่จะไม่ให้การสนับสนุนนโยบายประกันสุขภาพที่จะมาแทนที่โอบามาร์แคร์ จึงส่งผลให้หนทางของการผลักดันนโยบายดังกล่าวดูจะประสบกับความล้มเหลว

·         สถาบันจัดอันดับ Standard & Poor’s Global Ratings หรือ S&P บ่งชี้ว่า ข้อเสนอร่างสุขภาพล่าสุดเพื่อแทนที่นโยบายObamacare อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ รวมถึงกลุ่มผู้ประกันสุขภาพได้ ซึ่งอาจทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจเสียหาย 2.4 แสนล้านเหรียญในปี 2027 และอาจส่งผลกระทบต่อภาคแรงงาน 580,000 ราย

·         นายชาร์ล อีวานส์ ประธานเฟดสาขาชิคาโก กล่าวว่า เฟดควรรอจนกว่าจะมีสัญญาณที่ชัดเจนเกี่ยวกับการจ่ายเช็คค่าแรงชาวอเมริกา รวมทั้งการเพิ่มขึ้นของเงินเฟ้อก่อนทำการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งต่อไป เพราะการดำเนินการที่เร็วเกินไปอาจ่สงผลให้เป็นการก้าวผิดขั้นของการดำเนินนโยบาย

โดยเงินเฟ้อที่ระดับ 1.4ยังคงต่ำเกินไป ดังนั้นเฟดควรรอให้เงินเฟ้อมีสัญญาณการฟื้นตัวแตะเป้าหมาย 2% ก่อน และเขาเชื่อว่าระดับอัตราดอกเบี้ยจะค่อยๆปรับตัวขึ้นแตะระดับ 2.7% ได้ในอีกประมาณ 2 ปีข้างหน้า

·         นายวิลเลียม ดัดเลย์ ประธานเฟดสาขานิวยอร์ก กล่าวว่า เฟดควรขึ้นดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไปเพื่อให้ทิศทางการอ่อนตัวของเงินเฟ้อค่อยๆเลือนหายไป รวมทั้งติดตามปัจจัยทางเศรษฐกิจเพิ่มเติม เนื่องจากการอ่อนค่าของค่าเงินดอลลาร์และการขยายตัวาทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของต่างประเทศเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ รวมไปถึงการปรับขึ้นค่าแรงด้วย

·         นายนีล คาร์ชคาริ ประธานเฟดสาขามินนีแอโพลิส กล่าวว่า เขายังไม่เห็นถึงความจำเป็นที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อ และยังไม่มีหลักฐานใดบ่งชี้ว่าข้อมูลเงินเฟ้อที่อ่อนตัวนั้นมีการฟื้นตัว

·         นายมาริโอ ดรากี้ ประธานอีซีบี แสดงความเชื่อมั่นว่า เงินเฟ้อของยูโรโซนจะขยายตัวกลับสู่ระดับเป้าหมายได้ แต่ต้องอดทนรอก่อนเพื่อให้มั่นใจถึงการฟื้นตัวล่าสุดของทางเศรษฐกิจ

·         รายงานจาก BBC ระบุว่า นายชินโซ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ประกาศจะทำการยุบสภาในวันพฤหัสบดีนี้ โดยเขาระบุว่า หากชะนการเลือกตั้งจะทำการจัดการกับ “วิกฤตของชาติ” ที่เพิ่มขึ้นจากภัยคุกคามจากเกาหลีเหนือ ประกอบกับเขาต้องการปฏิรูปทางการเงินการใช้จ่ายที่มาจากการจัดเก็บภาษี รวมทั้งการลดระดับหนี้สิน และการแก้ไขปัญหาคาบสมุทรด้วย

อย่างไรก็ดี นายอาเบะไม่ได้กำหนดกรอบเวลาในการจัดการเลือกตั้ง แต่สื่อของญี่ปุ่นประเมินว่าการเลือกตั้งครั้งใหม่อาจจะเกิดขึ้นในวันที่ 22 ต.ค.

·         นักวิเคราะห์บางส่วนมองว่า การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นจะช่วยขยายอำนาจการสนับสนุนให้แก่นายอาเบะ ท่ามกลางความวุ่นวายของพรรคฝ่ายค้าน หลังจากที่อันดับความน่าเชื่อถือของเขาลดลงไปไม่ต่ำกว่า 30% ในเดือนก.ค. แต่ในเดือนนี้ความเชื่อมั่นในตัวเขากลับมายืนเหนือ 50ได้อีกครั้ง

·         ราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นได้เกือบ 3% โดยน้ำมันดิบ Brent ปิดปรับตัวขึ้นทำระดับสูงสุดในรอบกว่า 2 ปี หลังจากที่กลุ่มผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ เผยว่า ตลาดน้ำมันดิบเริ่มกลับสู่ทิศทางมีเสถียรภาพอีกครั้ง ขณะเดียวกันตุรกีก็ประกาศจะทำการตัดลดการส่งออกน้ำมันจากอิรัก

ราคาน้ำมันดิบ Brent ปิดปรับขึ้น 2.16 เหรียญ หรือคิดเป็น +3.8ที่ระดับ 59.02 เหรียญ/บาร์เรล ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ ก.ค. 2015

ราคาน้ำมันดิบ WTI ปิดปรับขึ้น 1.56 เหรียญ หรือคิดเป็น +3ที่ระดับ 52.22 เหรียญ/บาร์เรล ซึ่งถือเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่เม.ย.ที่ผ่านมา 

บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com