· ค่าเงินดอลลาร์ปรับแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย โดยกลับมาทรงตัวแถวระดับ 94.002 จุด หลังจากที่ร่วงลงไปทำระดับอ่อนค่ามากที่สุดในรอบกว่าหนึ่งปี ท่ามกลางอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่ปรับตัวสูงขึ้น จากการที่นักลงทุนรอคอยข่าวการประชุมเฟดสัปดาห์นี้ ที่มีความเป็นไปได้จะกล่าวย้ำ หรือส่งสัญญาณเกี่ยวกับแนวทางการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่จะเกิดขึ้นในเร็วๆนี้
· บรรดานักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ ยังเชื่อว่า เฟดจะกล่าวย้ำการเริ่มต้นลดยอดงบดุลในการประชุมเดือนกันยายนนี้ แต่อาจจะรอสัญญาณยืนยันเกี่ยวกับกรอบเวลาเพิ่มเติมในการประชุมช่วง 2 วันนี้
· เครื่องมือ FedWatch ของ CME Group แสดงให้เห็นว่า ยังไม่มีแนวโน้มที่เฟดจะตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงนี้จนกว่าจะถึงเดือนธ.ค. โดยโอกาสการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนธ.ค.ยังมีเพียง 47%
· ค่าเงินยูโรยังคงปรับแข็งค่าขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 23 เดือนเมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์ โดยเช้านี้อยู่แถวระดับ 1.6465 ดอลลาร์/ยูโร หลังจากที่ขึ้นไปทำจุดสูงสุดบริเวณ 1.6840 ดอลลาร์/ยูโร ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเมื่อส.ค. ปี 2015 และอาจเรียกได้ว่าค่าเงินยูโรมีทิศทางที่ดีที่สุดในกลุ่มค่าเงิน G10 โดยปีนี้ปรับแข็งค่าขึ้นได้แล้วกว่า 10%
· ผลการประกาศข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ เมื่อคืนนี้ ได้แก่ ข้อมูลยอดขายบ้านมือสองที่ออกมาแย่กว่าที่คาดการณ์ในเดือนมิ.ย. โดยปรับตัวลดลง 1.8% ที่ระดับ 5.52 ล้านยูนิต หรือลดลง 1 แสนยูนิตเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า ท่ามกลางการขาดแคลนการถือครองกรรมสิทธิ์ ท่ามกลางปริมาณความต้องการที่เพิ่มขึ้นจึงทำให้ราคาขายบ้านปรับตัวขึ้นเป็นประวัติการณ์ จึงทำให้ผู้ซื้อบ้านลดจำนวนลง
· รายงานจากรอยเตอร์สระบุว่า ชุดสืบสวนพิเศษเกี่ยวกับการทุจริตการเลือกตั้งของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เตรียมร้องขอข้อมูลการลงคะแนนเสียงของประชาชนในรัฐต่างๆของสหรัฐฯ เพื่อนำมาตรวจสอบในเร็วๆนี้
· นายบ็อบ ครอกเกอร์ ส.ส จากพรรครีพับลิกันและหัวหน้าคณะกรรมการด้านความสัมพันธ์ต่างประเทศ ระบุว่าการลงมติเพื่อเพิ่มมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียยังเร็วเกินไปที่จะลงคะแนนเสียงกันในสภาฯ จึงส่งผลให้การลงมติอาจต้องล่าช้าออกไปอีก
· สถาบันจัดอันดับ S&P Global Ratings มองว่าทิศทางการขยายตัวทางเศรษฐกิจสหรัฐฯจะได้รับอานิสงส์จากเบี้ยประกันสุขภาพและเบื้ยบำนาญที่ปรับตัวสูงขึ้น จึงช่วยจำกัดงบประมาณของประเทศ ดังนั้น ความเสี่ยงที่เศรษฐกิจสหรัฐฯจะประสบภาวะชะลอตัวภายในอีก 1 ปีข้างหน้าจะอยู่ในกรอบประมาณ 15-20% จากระดับ 20-25% และโดยภาพรวมคาดว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจจะเป็นไปอย่างปานกลางแถวระดับ 1.8% ในระยะยาว (ประมาณ 10 ปี) แม้ว่าระดับการประเมินดังกล่าวจะอยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยการขยายตัว 3.0% จากช่วงปี 1980 – 2000
· สำนักข่าวรอยเตอร์ส รายงานว่า บริษัท Goldman Sachs Group กำลังเตรียมการลดบทบาทการเป็นผู้นำ LMM (Lead Market Maker) ของกองทุน ETFs โดยจะลดจำนวนเงินทุนสนับสนุนภายในเดือนนี้ เพื่อให้บริษัทขนาดเล็กได้มีโอกาสรับส่วนแบ่งทางการตลาด
· สัญญาน้ำมันดิบ Brent ปิดปรับขึ้น 54 เซนต์ หรือคิดเป็น +1.1% ที่ระดับ 48.60 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่น้ำมันดิบ WTI ปิดปรับขึ้น 57 เซนต์ หรือคิดเป็ฯ +1.3% ที่ระดับ 46.34 เหรียญ/บาร์เรล
ราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นได้กว่า 1% วานนี้ หลังจากที่ผู้นำกลุ่มโอเปกอย่างซาอุดิอาระเบีย ให้คำมั่นว่าจะทำการปรับลดยอดส่งออกในเดือนสิงหาคมนี้ เพื่อช่วยลดภาวะอุปทานตลาดโลก โดยจะจำกัดยอดส่งออกให้อยู่ที่ระดับ 6.6 ล้านบาร์เรล/วันในเดือนหน้า หรือลดลงเกือบ 1 ล้านบาร์เรล/วันเมื่อเทียบกับปีก่อน ขณะที่ผู้อำนวยการบริษัท Halliburton กล่าวว่า ปริมาณแท่นขุดเจาะน้ำมันดิบในสหรัฐฯที่กำลังเพิ่มขึ้นขณะนี้มีความเป็นไปได้ที่จะปรับตัวลดลงในปีหน้า
ขณะที่รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานของรัสเซีย กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า อาจมีการปรับลดกำลังการผลิตเพิ่ม 200,000 บาร์เรล/วัน หากข้อตกลงการปรับลดกำลังการผลิตสามารถลดอุปทานโลกได้ 100%
อย่างไรก็ดี เมื่อวานนี้ ทางไนจีเรียอาจตัดสินใจทำการเข้าร่วมข้อตกลงการปรับลดกำลังการผลิตจำนวน 1.8 ล้านบาร์เรล/วัน เมื่อมีเสถียรภาพทางด้านการผลิตจากระดับ 1.7 ล้านบาร์เรลได้เมื่อไม่นานมานี้