• ค่าเงินดอลลาร์ทรงตัวใกล้บริเวณต่ำสุดในรอบ 14 เดือนเมื่อเทียบกับค่าเงินยูโร จากกระแสคาดการณ์ที่เพิ่มขึ้นว่าทางยุโรปและแคนาดาจะใช้นโยบายคุมเข้มทางการเงิน จึงสร้างความไม่แน่ใจว่าเฟดจะสามารถขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้ต่อหรือไม่ในปีนี้
ค่าเงินยูโรปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 1.1444 ดอลลาร์/ยูโร ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ 11 พ.ค.ปีที่แล้ว หลังอีซีบีมีการส่งสัญญาณเมื่อวันอังคารที่อาจเริ่มลดการใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงิน
• ขณะเดียวกัน ผู้ว่าการบีโอซี และบีโออี ต่างก็ส่งสัญญาณจะทำการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยขึ้นด้วยเช่นกันในปีนี้ ทำให้นักวิเคราะห์บางส่วนมองว่า การส่งสัญญาณคุมเข้มทางการเงินของบรรดาธนาคารกลางต่างๆทั่วโลก จะทำให้เฟดสามารถปรับขึ้นอัตรดอกเบี้ยได้อีกครั้งในปีนี้หรือไม่ จึงทำให้ค่าเงินดอลลาร์ปรับอ่อนค่าลงมา โดยดัชนีดอลลาร์อ่อนค่าลงมาแถว 95.597 จุด และเช้านี้อยู่ที่ระดับ 95.54 จุด ขณะที่ค่าเงินเยนแข็งค่าลงมาแถวระดับ 112.05 เยน/ดอลลาร์
ทั้งนี้ การส่งสัญญาณคุมเข้มทางการเงินของบีโออี ก็ทำให้ค่าเงินปอนด์ปรับแข็งค่าขึ้นเหนือระดับ 1.3 ดอลลาร์/ปอนด์ เป็นครั้งแรกในรอบ 5 สัปดาห์ โดยเช้านี้อยู่ที่ระดับ 1.3020 ดอลลาร์/ปอนด์
• ผลการประกาศข้อมูลศรษฐกิจสหรัฐฯเมื่อคืนนี้ พบว่า การขยายตัวทางเศรษฐกิจสหรัฐฯออกมาดีขึ้นกว่าที่คาดการณ์ในไตรมาสแรกของปีนี้ จากการปรับตัวขึ้นของค่าใช้จ่ายผู้บริโภค และน่าจะเป็นปัจจัยที่หนุนแนวโน้มการขยายตัวได้ต่อในปีนี้
ทั้งนี้ จีดีพีไตรมาสแรกออกมาที่ระดับ 1.4% เมื่อเทียบกับรายงานประมาณการณ์ครั้งก่อนหน้าที่ระดับ 1.2% ซึ่งถึงแม้ระดับดังกล่าวจะยังอยู่ในระดับต่ำนับตั้งแต่ช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2016 แต่บรรดานักวิเคราะห์ต่างมีกระแสคาดการณ์แลท่าทีที่ผ่อนคลายลงเกี่ยวกับแนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวในช่วงต้นปีนี้
• นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อคืนที่ผ่านมา ได้เปิดตัวโครงการ “ยุคทองของพลังงานสหรัฐฯ” ที่เข้าร่วมโดยบรรดาบริษัทแนวหน้าของภาคธุรกิจพลังงาน ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนการส่งออกแก๊สธรรมชาติ,ถ่านหิน, และน้ำมันปิโตรเลียม จากสหรัฐฯสู่ตลาดทั่วโลก
• มีรายงานว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะใช้โอกาสในการประชุม G20 ที่จะจัดขึ้นในสัปดาห์หน้า เพื่อโน้มน้าวให้บรรดาผู้นำประเทศลดการส่งออกโลหะก่อสร้างเข้าสู่ตลาด ที่ส่งผลให้ปริมาณโลหะก่อสร้างมีสูงเกินไป
• รายงานจากรอยเตอร์ส เปิดเผยว่า สหรัฐฯมีแผนจะขายอาวุธให้แก่ไต้หวันเป็นจำนวนเงิน 1.42 พันล้านเหรียญเพื่อเป็นการหาพวกในการต่อกรกับเกาหลีเหนือ ซึ่งการซื้อขายอาวุธครั้งแรกภายใต้ทีมบริหารของนายทรัมป์ และอาจสร้างความไม่พอใจให้แก่จีนได้
• ขณะที่รายงานล่าสุด ระบุว่า จีนมีการจัดตั้งกองกำลังทหารครั้งใหม่บริเวณคาบสมุทรทะเลจีนใต้ ซึ่งอาจเป็นการสร้างความตึงเครียดเพิ่มขึ้นระหว่างสหรัฐฯ
• ดอยซ์แบงก์ (Deutsche Bank) ปฏิเสธต่อข่าวที่ว่าทางพรรคเดโมแครตเรียกร้องให้ทางแบงก์เผยรายละเอียดข้อมูลทางการเงินของ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ
• รายงานจากรอยเตอร์ส ระบุว่า เฟดจะทำการเปิดเผยรายงานนโยบายการเงินช่วงครึ่งปี ในวันที่ 7 กรกฎาคมนี้ ซึ่งเป็นช่วง 5 วันก่อนหน้าที่เฟดจะทำการกล่าวถ้อยแถลงนโยบายการเงินต่อสภาคองเกรส
• นายสตีเวน มนูชิน เลขาธิการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ กล่าวว่า สหรัฐฯจะให้การสนับสนุนภารกิจของไอเอ็มเอฟ แม้ว่าจะต้องการให้แน่ใจว่าเงินของผู้เสียภาษีจะนำไปใช้ได้อย่างถูกวิธีและชาญฉลาดก็ตาม
• ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้น โดยเป็นการปรับขึ้นติดต่อกัน 6 วันทำการ หลังจากที่ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบในสหรัฐฯอ่อนตัวลงชั่วคราว จึงลดความกังวลเกี่ยวกับภาวะอุปทานล้นตลาดลงไปได้บ้าง
น้ำมันดิบ WTI ปิดปรับตัวขึ้น 19 เซนต์ ที่ระดับ 44.93 เหรียญ/บาร์เรล หลังจากขึ้นไปทำจุดสูงสุดในรอบ 2 สัปดาห์ที่ระดับ 45.45 เหรียญ/บาร์เรลในช่วงปลายตลาดรอบเช้า ก่อนจะถูกแรงกดดันบางส่วนจากรายงานของ โซซิเอเต้ เจเนอรัล ซึ่งเป็นหนึ่งใน 3 ธนาคารเพื่อการลงทุนรายใหญ่ได้ทำการปรับลดมุมมองราคาน้ำมันดิบเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยระบุว่าราคาเฉลี่ยน้ำมันดิบในไตรมาสที่ 3 จะอยู่ที่ระดับ 47.50 เหรียญ/บาร์เรล หรือปรับลดลงจากระดับ 55 เหรียญ/บาร์เรลในคาดการณ์ก่อนหน้า
ราคาน้ำมันดิบ Brent ปิดปรับตัวขึ้น 11 เซนต์ ที่ระดับ 47.42 เหรียญ/บาร์เรล หลังจากที่ขึ้นไปทำจุดสูงสุดใรนอบ 2 สัปดาห์เช่นกันที่ระดับ 48.03 เหรียญ/บาร์เรลในช่วงต้นตลาด