• 4 ปัจจัยที่จะหยุดทิศทางขาขึ้นของตลาดหุ้นสหรัฐฯ

    22 มิถุนายน 2560 | SET News

ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เราได้เห็นการปิดลบติดต่อกันของดัชนีดาวโจนส์ ซึ่งเกิดจากการที่เหล่านักลงทุนในตลาดทำการเทขายหุ้นระดับแนวหน้า 5 ตัว หรือที่เรียกว่า FAANG ประกอบด้วย Facebook, Amazon, Apple, Netflix และ Google เมื่อช่วงต้นเดือนมิถุนายน และหันเข้าหาหุ้นกลุ่มการเงินที่ได้รับแรงหนุนจากความคาดหวังในนโยบายเศรษฐกิจของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯแทน

วัฏจักรที่กล่าวมาข้างต้น ถือว่าเป็นวัฏจักรที่ดีและจะสามารถช่วยผลักดันทิศทางขาขึ้นให้กับตลาดหุ้นสหรัฐฯต่อไปได้

อย่างไรก็ดี การปรับลดลงติดต่อกันของตลาดหุ้นสหรัฐฯเมื่อไม่กี่วันมานี้ ก็ได้ส่งผลถึงความกังวลของเหล่านักลงทุนบางส่วน ว่าทิศทางขาขึ้นของตลาดหุ้นสหรัฐฯอาจจะจบลงด้วย 4 ปัจจัยดังต่อไปนี้

1. ภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจ

โอกาสที่จะเกิดภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจ ณ ปัจจุบันถือว่าต่ำมาก แม้ตลาดแรงงานสหรัฐฯจะเริ่มอิ่มตัวและอัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ที่ระดับ 1.2% แต่ยังคงไม่มีการเคลื่อนไหวของตลาดที่บ่งชี้ถึงภาวะถดถอย

อย่างไรก็ดี อนาคตเป็นสิ่งไม่แน่นอน ถึงจะมีการออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาลสหรัฐฯออกมา ก็น่าจะช่วยได้เพียงยืดระยะเวลาของมันออกไป

นักวิเคราะห์คาดโอกาสที่ภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจจะหยุดทิศทางขาขึ้นของตลาดหุ้นสหรัฐฯในปี 2017 อยู่ที่ 8.4% แต่โอกาสเกิดขึ้นในปี 2018 เพิ่มขึ้นถึง 20%-30% และจะสูงยิ่งขึ้นใน 2019 เนื่องจากปัจจัยต่อไปนี้...

2. ธนาคารกลางสหรัฐฯ

หลังจากการประชุมคณะกรรมการการเงิน FOMC ของธนาคารกลางสหรัฐฯหรือเฟด นางเจเน็ท เยลเลน ได้ให้สัญญาณว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในปี 2017 นี้ และจะปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อไปในปี 2018 แม้อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯยังคงอยู่ในระดับต่ำ แต่เฟดได้เปิดเผยว่าจะทำการปรับพอร์ตงบดุลมูลค่ากว่า 4.5 ล้านล้านเหรียญ

ในปัจจุบัน อัตราดอกเบี้ยของเฟดถูกตั้งไว้ที่ระดับ 1.00% - 1.25% ซึ่งยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่าเมื่อปี 2000 ที่มีอัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ระดับ 6.5% ก่อนหน้าที่จะเกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจ จึงยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่เฟดมีท่าทีระมัดระวังการขึ้นอัตราดอกเบี้ย

นักวิเคราะห์คาดโอกาสที่แนวโน้มขาขึ้นของตลาดหุ้นสหรัฐฯจะจบลงในปี 2017 จากปัจจัยนี้ อยู่ที่ 10 - 20% และโอกาสเกิดขึ้นในปี 2018 อยู่ที่ 20%-30%

3. เรื่องไม่คาดคิดกับหุ้นกลุ่ม FAANG

ดังที่กล่าวมาข้างต้น หุ้มกลุ่มนี้มีส่วนแบ่งในตลาดหุ้นอย่างมหาศาลในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา หากเกิดปัญหากับหุ้นตัวใดตัวหนึ่งในกลุ่มนี้ จะส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯกอดคอร่วงไปด้วยกัน แม้โอกาสเกิดขึ้นแทบจะเป็นไปไม่ได้ เมื่อวัดจากความแข็งแกร่งของหุ้นกลุ่มนี้ และอีกปัจจัยหนึ่งคือเรื่องที่ตลาดไม่คาดคิด อย่างเมื่อเร็วๆนี้ ที่ CEO ของ UBER ประกาศลาออกจากตำแหน่งหลังถูกกลุ่มนักลงทุนกดดัน จึงส่งผลให้เกิดการเทขายหุ้น UBER ท่ามกลางความแตกตื่นในตลาด

นักวิเคราะห์จึงคาดโอกาสที่เหตุการณ์ไม่คาดคิดจะเกิดขึ้นในปี 2017 อยู่ที่ 10 - 20% และโอกาสเกิดขึ้นในปี 2018 อยู่ที่ 20%-30%

4. สงคราม

ในช่วงหลายสัปดาห์ก่อนหน้านี้ ปัญหาความขัดแย้งกับเกาหลีเหนือเป็นสิ่งที่เหล่านักลงทุนกังวลมากที่สุด เนื่องจากหากเกิดสงครามขึ้นจริง จะทำมีผู้เสียชีวิตอย่างล้นหลาม และความเสียหายในเมืองใหญ่ๆอย่างกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ แต่ที่เลวร้ายที่สุดคือภัยอันตรายจากอาวุธนิวเคลียร์หรืออาวุธชีวภาพที่อาจถูกยิงใส่ฐานทัพทหารสหรัฐฯที่ตั้งอยู่ในญี่ปุ่นหรือในสหรัฐฯเอง

จากปัจจัยทั้ง 4 ที่ยกมา สงครามคือปัจจัยที่คาดการณ์ได้ยากที่สุด และภัยคุกคามจากมันจะไม่ส่งผลเพียงแค่เรื่องเศรษฐกิจแน่นอน

ที่มา: Market Watch

บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com