• ผลการประกาศข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคประจำเดือนมีนาคมออกมาดีขึ้นในรอบกว่า 16 ปี โดยปรับตัวขึ้นกว่า 9.5% ที่ระดับ 125.6 จุด ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2000 ท่ามกลางความแข็งแกร่งของตลาดแรงงาน และยอดดุลการค้าที่ออกมาปรับตัวลดลงในเดือนกุมภาพันธ์ จึงบ่งชี้ว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯยังคงขยายตัวหลังจากที่ชะลอตัวในช่วงเริ่มต้นปี
• เช้านี้ค่าเงินดอลลาร์ดีดตัวขึ้นจากระดับต่ำสุดในรอบ 4 เดือนเครึ่งเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักส่วนใหญ่ จากกระแสคาดการณ์ที่กลับสู่ตลาดเกี่ยวกับแนวโน้มที่เฟดอาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้มากขึ้นในปีนี้ ขณะที่ค่าเงินปอนด์อ่อนค่าลงจากความกังวลเกี่ยวกับการเจรจาของอังกฤษและอียูในการเริ่มต้น Brexit วันนี้
ดัชนีดอลลาร์ปรับขึ้น 0.1% ที่ระดับ 99.754 จุด หลังจากที่ร่วงลงไปทำต่ำสุดในช่วงต้นสัปดาห์บริเวณ 98.858 จุด ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ 11 พฤศจิกายน ขณะที่ค่าเงินเยนปรับอ่อนค่าขึ้นมาบริเวณ 111.17 เยน/ดอลลาร์ หลังจากลงไปทำจุดต่ำสุดบริเวณ 110.11 เยน/ดอลลาร์
ขณะที่ค่าเงินยูโรทรงตัวที่ระดับ 1.0814 ดอลลาร์/ยูโร ด้านค่าเงินปอนด์ปรับอ่อนค่าลง 0.4% ที่ระดับ 1.2403 ดอลลาร์/ปอนด์ จากการที่นายกรัฐมนตรีอังกฤษจะมีการเคลื่อนไหวในช่วงสายวันนี้ในการเตรียมเอกสารก้าวออกจากอียู
อย่างไรก็ดีถ้อยแถลงของ นายแสตนลีย์ ฟิชเชอร์ รองประธานเฟด เป็นปัจจัยที่หนุนการแข็งค่าของค่าเงินดอลลาร์ จากการที่เขาให้สัมภาษณ์ผ่านรายการโทรทัศน์ โดยระบุว่า เฟดมีโอกาสปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้มากกว่า 2 ครั้งในปีนี้
• นางเอสเธอร์ จอร์จ ประธานเฟดสาขาแคนซัสซิตี้ กล่าวว่า จำเป็นต้องเห็นรายละเอียดวัตถุประสงค์ของนโยบายการเงินจากทีมของนายทรัมป์มากกว่านี้
• นายเจอโรม โพเวลล์ หนึ่งในสมาชิกบอร์ดบริหารของเฟด กล่าวว่า ผลกระทบของการดำเนินนโยบายครั้งใหม่ของนายทรัมป์เพื่อหนุนเศรษฐกิจจะยังคงมีความไม่แน่นอนอย่างมากต่อการดำเนินนโยบายของเฟด หรือการเริ่มคาดการณ์เกี่ยวกับแนวโน้ม เนื่องจากยังมีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับขอบเขต กรอบเวลา และเนื้อหาที่ชัดเจนของนโยบายทรัมป์ จึงเป็นการยากที่เฟดจะประเมินถึงสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้น
• น้ำมันดิบ WTI ปิด +1.34% ที่ระดับ 48.37 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่น้ำมันดิบ Brent ปิด +1.14% ที่ระดับ 51.33 เหรียญ/บาร์เรล โดยเมื่อคืนนี้ต่างปรับขึ้นได้ประมาณ 2% ไปทำจุดสูงสุดเมื่อคืนนี้ จากการที่กลุ่มติดอาวุธทางตะวันตกของลิเบียทำการปิดท่อส่งก๊าซสำคัญของประเทศ จึงลดภาวะอุปทานน้ำมันดิบ ประกอบกับการที่เจ้าหน้าที่บ่งชี้ว่า สมาชิกโอเปกและกลุ่มนอกโอเปกอาจผลักดันข้อตกลงปริมาณการปรับลดการผลิตออกไปจนถึงสิ้นปีนี้