• ค่าเงินดอลลาร์ปรับแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยจากระดับต่ำสุดในรอบ 4 เดือนเมื่อเทียบกับค่าเงินเยนในเช้าวันนี้ แม้ว่าความพยายามในการผลักดันร่างกฎหมายสุขภาพของนายทรัมป์ ยังเป็นปัจจัยกดดันหลักของค่าเงินดอลลาร์ และส่งผลให้ตลาดหุ้นและตราสารหนี้ปรับตัวลดลง โดยเช้านี้ค่าเงินดอลลาร์ปรับแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยมาบริเวณ 111.345 เยน/ดอลลาร์ หลังจากที่ปรับแข็งค่าติดต่อกัน 7 วันทำการ ขณะที่เมื่อคืนนี้ทำระดับต่ำสุดบริเวณ 110.735 เยน/ดอลลาร์
ด้านดัชนีดอลลาร์ปรับแข็งค่าขึ้นมาบริเวณ 99.791 จุด หลังจากที่เมื่อคืนนี้ลงไปทำจุดต่ำสุดบริเวณ 99.457 จุด ซึ่งเป็นระดับอ่อนค่ามากสุดในรอบ 7 สัปดาห์
ค่าเงินยูโรปรับอ่อนค่าลงเล็กน้อย 0.1% ที่ระดับ 1.0789 ดอลลาร์/ยูโร หลังจากที่เมื่อคืนนี้ปรับตัวขึ้นไปทำจุดสูงสุดในรอบ 7 สัปดาห์บริเวณ 1.0825 ดอลลาร์/ยูโร
• ผลการประกาศข้อมูลยอดขายบ้านมือสองสหรัฐฯ ปรับตัวลดลงกว่าที่คาดการณ์ โดยปรับตัวลดลง 3.7% สู่ระดับ 5.48 ล้านยูนิต หรือลดลง 2.1 แสนยูนิตเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า ท่ามกลางราคาบ้านที่สูงขึ้นและการปรับตัวลดลงของกลุ่มผู้ซื้อที่ยังเป็นอุปสรรคของตลาดที่อยู่อาศัย
• นายเจฟฟรี กอนแลช ผู้อำนวยการบริษัท DoubleLine Capital กล่าวว่า หากร่างกฎหมายสุขภาพของนายทรัมป์ไม่ผ่านมติ หรือถูกเลื่อนออกไป จะส่งผลให้เกิดความไม่แน่ใจครั้งใหญ่ต่อแนวทาง “การค้า” ของนายทรัมป์ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ผลักดันให้ตลาดหุ้นหรือตราสารหนี้สหรัฐฯปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่ผลสำรวจประชาชนส่วนใหญ่ ยังเชื่อว่า ร่างกฎหมายสุขภาพที่มาแทนที่Obamacare มีแนวโน้มจะผ่านมติของสภาฯ แต่หากไม่เป็นไปตามนั้นทุกๆอย่างก็จะเปลี่ยนเป็นความไม่มั่นใจ
• ราคาน้ำมันดิบปิดปรับขึ้นเล็กน้อยหลังจากที่ระหว่างการซื้อขายร่วงลงไปทำจุดต่ำสุดในรอบเกือบ 4 เดือน หลังจาก EIAเปิดเผยข้อมูลสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯพุ่งสูงขึ้นกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้เกือบ 5 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 533.1 ล้าบาร์เรลในสัปดาห์ที่ผ่านมา จึงยิ่งกดดันความพยายามของกลุ่มโอเปกในการจะขยายระยะเวลาการปรับลดกำลังการผลิต
ราคาน้ำมันดิบ Brent ปิดลดลง 31 เซนต์ ที่ระดับ 50.65 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ระหว่างการซื้อขายวานนี้ร่วงลงทำจุดต่ำสุดบริเวณ 49.71 เหรียญ/บาร์เรล ด้านราคานำมันดิบ WTI ปิดลดลง 20 เซนต์ ที่ระดับ 48.04 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ช่วงการซื้อขายลงไปทำจุดต่ำสุด 47.01 เหรียญ