• ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นในตลาดเอเชีย รวมถึงอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่ปรับตัวสูงขึ้นหลังจากข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯออกมาสดใสส่งผลให้เฟดอาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมสัปดาห์หน้านี้ (14-15 มี.ค.) ขณะที่ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลงหลังจากสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯเพิ่มขึ้นกว่าที่คาด
• ผลสำรวจ Harris Interactive poll ล่าสุดพบว่า ประชาชนส่วนมากคาดว่านางมารีน เลอ แปน จะพ่ายแพ้ต่อนายแอมมานูแอล มาครง ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีฝรั่งเศสวันที่ 23 เมษายน ด้วยผลโหวตที่ 25% ต่อ 26%
ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับผลสำรวจเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อนหน้า พบว่าคะแนนโหวตของนายแอมมานูแอล ปรับสูงขึ้นกว่า 6%ขณะที่คะแนนของนางมารีน เลอ แปน ไม่ปลี่ยนแปลง
• รัฐบาลจีนให้การอนุมัติเบื้องต้นแก่บริษัทสัญชาติสหรัฐฯ 36 บริษัท ภายใต้นามของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ให้ประกอบกิจการในตลาดจีนได้ จึงเป็นการเบิกทางให้กับนายทรัมป์ที่จะเข้ามาสร้างชื่อในตลาดจีน
• จากข้อมูลตัวเลขเศรษฐกิจจีนที่เปิดเผยออกมาวันนี้ พบว่า ดัชนีราคาผู้ผลิตเมื่อเดือน ก.พ. ปรับตัวสูงขึ้นด้วยอัตราที่สูงที่สุดในรอบเกือบ 9 ปี ที่ระดับ 7.8% ท่ามกลางราคาที่สูงขึ้นของโลหะและวัสดุก่อสร้างอื่นๆ จึงส่งผลให้ผลประกอบการของภาคอุตสาหกรรมทั่วโลกเพิ่มสูงขึ้น
ในทางตรงกันข้าม อัตราการเติบโตของดัชนีราคาผู้บริโภคจีนกลับลดต่ำลงที่ระดับ 0.8% ท่ามกลางราคาอาหารที่ถูกลงหลังจากช่วงวันหยุดยาวในเทศกาลตรุษจีน
• จากสำนักข่าวรอยเตอร์ส บริษัทขุดเจาะน้ำมันหลายแห่งในสหรัฐฯ มีแผนที่จะเพิ่มอัตราการขุดเจาะน้ำมันขึ้นอีก จึงอาจส่งผลให้เกิดความขัดแย้งกับมาตรการลดอัตราการผลิตของกลุ่มโอเปกได้
• ราคาน้ำมันปรับขึ้นวันนี้ หลังจากที่ปรับลดลงอย่างมากในช่วงก่อนหน้า ท่ามกลางแรงหนุนจากการให้ความร่วมมือของบรรดาผู้ผลิตกลุ่มโอเปกภายใต้มาตรการปรับลดอัตราการผลิต แม้จะมีแรงกดดันจากปริมาณสต็อกน้ำมันสหรัฐฯอยู่
รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานประเทศคูเวต ระบุว่า การปรับลดอัตราการผลิตเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ได้บรรลุเป้าหมายแล้ว โดยในภาพรวม กลุ่มโอเปกมีการปรับลดการผลิตน้ำมันลงไปแล้วกว่า 140% ในขณะที่กลุ่มนอกโอเปกอยู่ 50-60%
ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบ Brent ปรับตัวสูงขึ้น 42 เซนต์ หรือ 0.76% ที่ระดับ 55.53 เหรียญ ขณะที่ ราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวสูงขึ้น 32 เซนต์ หรือ 0.64% ที่ระดับ 50.6 เหรียญ