• ผลการประกาศข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯเมื่อคืนนี้ พบว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตขั้นต้นประจำเดือนมกราคมออกมาดีขึ้นเกินคาดแตะระดับ 55.1 จุด ซึ่งถือเป็นระดับที่แข็งแกร่งที่สุดนับตั้งแต่พฤศจิกายน 2014 ส่งผลให้นักวิเคราะห์ระบุว่าการจ้างงานจะมีการปรับตัวขึ้นตาม
• รายงานยอดขายบ้านมือสองประจำเดือนธันวาคมของสหรัฐฯออกมาแย่ลงกว่าที่คาดโดยปรับตัวลดลง 2.8% แตะระดับ 5.49 ล้านยูนิต หรือปรับตัวลง 1.6 แสนยูนิต ซึ่งถือเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 17 ปี
• รายงานจากรอยเตอร์สระบุว่า ยอดขายบ้านปรับตัวลดลงเกินคาดจากภาวะอุปทานตลาดที่อยู่อาศัยที่ปรับตัวลดลงแตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 1999 แต่การฟื้นตัวของตลาดที่อยู่อาศัยยังคงดำเนินไปได้เพราะได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของตลาดแรงงาน
ทั้งนี้ การปรับตัวลดลงของยอดขายติดต่อกันในช่วง 3 เดือน ไม่ได้เป็นการส่งสัญญาณว่าภาคที่อยู่อาศัยนั้นอ่อนแอ ขณะที่ตลาดแรงงานมีการจ้างงานใกล้ภาวะสมบูรณ์เต็มที่ ประกอบกับทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐฯนั้นยังมีความแข็งแกร่ง
• รายงานจากรอยเตอร์ส รายงานว่า เมื่อวานนี้ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ มีการลงนามอนุมัติให้ภาคอุตสาหกรรมภายในประเทศมีกระบวนการตรวจสอบที่ผ่อนคลายมากขึ้น เพื่อลดระยะเวลาที่ใช้ในกระบวนการผลิตลง
นอกเหนือจากนี้ นายทรัมป์ยังได้ลงนามอนุมัติให้เดินหน้าการก่อสร้างท่อส่งน้ำมันคีย์สโตน เอ็กซ์แอล และท่อส่งน้ำมันดาโกต้า แอคเซส เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการขนส่งน้ำมันของสหรัฐฯ
อย่างไรก็ดี ยังมีคาดการณ์ว่า ในวันนี้นายทรัมป์จะมีการลงนามเกี่ยวกับกฎหมายการควบคุมผู้อพพยพ ทั้งจากซีเรีย และอีก 6 ประเทศในตะวันออกกลาง หรือแถบประเทศแอฟริกัน รวมไปถึงอาจจะลงนามกฎหมายการควบคุมผู้นี้ภัย โดยมีแนวโน้มจะประกอบไปด้วย การสั่งห้ามเข้าประเทศเป็นเวลาหลายเดือนอีกด้วย
หลังจากเจรจาร่วมกับกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ 3 บริษัทฯที่มีการผลิตรถยนต์ภายในประเทศ เพื่อให้เป็นไปตามคำมั่นสัญญาที่เคยให้ไว้ของทรัมป์ เกี่ยวกับการจ้างงานในสหรัฐฯ และการควบคุมกลุ่มอุตสาหกรรมรถยนต์ที่มีการผลิตในเม็กซิโก โดยนายทรัมป์ ขู่ว่าจะทำการเพิ่มภาษีนำเข้ารถยนต์กว่า 35% รวมทั้งแสดงจุดยืนว่าต้องการให้มีการผลิตรถยนต์เฉพาะในสหรัฐฯเท่านั้น
ขณะเดียวกัน แรงกดดันจากประธานาธิบดีสหรัฐฯคนใหม่ ส่งผลให้เม็กซิโกกำลังจัดเตรียมการเข้าหารือเพื่อเปลี่ยนแปลงกฎการค้าเกี่ยวกับภาคการผลิตในประเทศ เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งทางการค้ากับสหรัฐฯ
• เมื่อวานนี้ค่าเงินปอนด์ปรับอ่อนค่าลง ท่ามกลางดัชนี FTSE100 ของอังกฤษที่ปรับตัวสูงขึ้น หลังศาลฏีกาอังกฤษ ระบุว่า รัฐบาลจะต้องยื่นเรื่องเสนอมาตรา 50 กับทางรัฐสภาก่อน แต่ไม่จำเป็นต้องประชุมสามัญในภูมิภาค จึงยิ่งบ่งชี้ถึงสัญญาณการออกจากอียู โดยเงินปอนด์ร่วงลง 0.4% ที่ระดับ 1.2489 ดอลลาร์/ปอนด์
• ราคาน้ำมันดิบ WTI ปิดปรับตัวขึ้น 43 เซนต์ หรือคิดเป็น 0.8% ที่ระดับ 53.18 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่น้ำมันดิบ Brentปิดปรับตัวขึ้น 17 เซนต์ ที่ระดับ 55.40 เหรียญ/บาร์เรล โดยตลาดน้ำมันปรับตัวขึ้นก่อนทราบข้อมูลสต็อกน้ำมันดิบประจำสัปดาห์ของสหรัฐฯ ซึ่งจะเป็นปัจจัยพิสูจน์ว่าภาวะตลาดโลกนั้นมีความตึงตัวขึ้นจากการปรับลดกำลังการผลิตของกลุ่มโอเปกและกลุ่มผู้ผลิตนอกโอเปกหรือไม่
อย่างไรก็ดี การที่ปริมาณแท่นขุดเจาะน้ำมันดิบในสหรัฐฯเพิ่มสูงขึ้น ยังเป็นปัจจัยจำกัดการปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันดิบอยู่ในขณะนี้