ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลดลงทำจุดต่ำสุดในรอบ 4 สัปดาห์ โดยดัชนี MSCI's Asia-Pacific ที่ไม่รวมหุ้นญี่ปุ่นปรับตัวลดลง 0.3% เนื่องจากโอกาสที่เฟดจะปรับตัวขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้มากขึ้นและการแข็งค่าของค่าเงินดอลลาร์อันเนื่องมาจากนโยบายของนายโดนัล ทรัมป์ในการปรับลดภาษีและนโยบายงบประมาณค่าใช้จ่ายส่งผลให้เงินทุนไหลเข้ากลับมาในประเทศ
ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปรับตัวลงท่ามกลางปริมาณการซื้อขายที่ค่อนข้างเบาบางในวันนี้ โดยปรับตัวลงหลังจากที่ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 9 วันทำการ เพราะได้รับแรงกดดันจากกลุ่มนักลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯที่ชะลอการลงทุนในช่วงก่อนเทศกาลคริสต์มาส
โดยดัชนีนิกเกอิปรับตัวลดลง 0.1% ที่ระดับ 19,391.60 จุด หลังจากที่ปรับขึ้นได้กว่า 6.2% ในช่วง 9 วันทำการที่ผ่านมา เพราะได้รับแรงหนุนจากการอ่อนค่าของค่าเงินเยนเมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์ จากกระแสคาดการณ์ที่ว่าเฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วขึ้นในปีหน้า
ขณะที่ผลสำรวจจาก Reuters บ่งชี้ว่า การประชุมบีโอเจในช่วง 2 วัน ระหว่างวันที่ 19-20 ธันวาคมนี้ โดยมีกระแสคาดการณ์ว่าจะยังคงเป้าหมายอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี ท่ามกลางการอ่อนค่าของค่าเงินเยนที่ช่วยหนุนมุมมองการขยายตัวของเศรษฐกิจญี่ปุ่น
อย่างไรก็ดี ปริมาณการซื้อขายในตลาดหลักยังคงค่อนข้างเบาบาง โดยมีปริมาณการซื้อขายเพียง 1.75 หมื่นล้านหุ้น ซึ่งถือเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ 8 พฤศจิกายน โดยกระแสเงินหมุนเวียนในตลาดญี่ปุ่นอยู่ที่ระดับ 2.14 ล้านล้านเยน ซึ่งถือเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ 8 พฤศจิกายนเช่นเดียวกัน
ตลาดหุ้นจีนปรับตัวลดลดลง โดยดัชนี Shanghai Composite ปรับตัวลดลง 0.5% สู่ระดับ 3,118.08 จุด ภายหลังจากที่จีนได้เปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง
ตลาดหุ้นฮ่องกงปรับลดลงในรอบ 4 เดือนครึ่ง โดยปรับตัวลดลงต่อเนื่องนับตั้งแต่สัปดาห์ที่ผ่านมาหลังจากที่เฟดประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ย ขณะที่ดัชนี Hang Seng ปรับตัวลดลง 0.9% สู่ระดับ 21,832.68 จุด