• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคค่ำ) ประจำวันที่ 25 พฤศจิกายน 2559

    25 พฤศจิกายน 2559 | Economic News

สัปดาห์หน้า หนึ่งในปัจจัยที่ต้องติดตามคือ “การทำประชามติอิตาลี”

ในวันที่ 4 ธ.ค. ประชาชนชาวอิตาลีจะมีการทำประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญว่าจะยกเครื่องรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันที่มีกระบวนการในการร่างกฎหมายที่ยุ่งยากซับซ้อนหรือไม่

การทำประชามติในครั้งนี้ หากไม่ผ่าน นาย Matteo Renzi นายกรัฐมนตรีของอิตาลีอาจจะลาออกจากตำแหน่ง และจากโพลล์ที่ออกมา พบว่าประชาชนส่วนใหญ่จะโหวต No ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์ระบุว่า อิตาลี ต้องผ่านการทำประชามติดังกล่าวให้ได้ หากต้องการให้การบริหารของภาครัฐมีความคล่องตัวมากขึ้น และช่วยให้ออกนโยบายที่หนุนเศรษฐกิจได้ง่ายขึ้น

หากการทำประชามติไม่ผ่านและนายกรัฐมนตรี Matteo Renzi ประกาศลาออกจากตำแหน่ง อาจจะส่งผลให้พรรค Five Star Movement ซึ่งเป็นพรรคใหญ่ที่ใช้หนุนให้อิตาลีออกจากยูโรโซนขึ้นมามีอำนาจในการเมืองอิตาลีมากขึ้น

นักวิเคราะห์จาก Reuben Brothers ระบุว่า การทำประชามติในเดือน ธ.ค. นี้นั้นอาจส่งผลให้เสถียรภาพของสหภาพยุโรปมีปัญหามากขึ้นได้



ไทยและฟิลิปปินส์ สามารถรองรับผลจากเงินทุนไหลออกได้ดีที่สุดในเอเชีย

จากการคำนวณโดย IMF แสดงให้เห็นว่าไทยและฟิลิปปินส์เป็นประเทศที่สามารถทนต่อแรงกดดันต่อค่าเงินของตนเองได้ดีที่สุดในเอเชีย โดยระบุว่า ไทยนั้นมีทุนสำรองที่ระดับ 1.633 แสนล้านเหรียญ ขณะที่ต้องการเพียง 6.49 หมื่นล้านเหรียญเพื่อใช้ในการรักษาเสถียรภาพของประเทศ ส่วนฟิลิปปินส์นั้นมีทุนสำรองที่ระดับ 8.4 หมื่นล้านเหรียญ และมีความต้องการที่ 3.1 หมื่นล้านเหรียญ ขณะที่ประเทศที่มีทุนสำรองน้อยสุ่มเสี่ยงต่อเสถียรภาพ คือ มาเลเซีย

นักวิเคราะห์จาก Australia & New Zealand Banking Group ระบุว่า ไทยและฟิลิปปินส์ได้เพิ่มทุนสำรองระหว่างประเทศในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งช่วยให้สามารถเข้าแทรกแซงอัตราแลกเปลี่ยนเพื่อรักษาเสถียรภาพของค่าเงินได้มากกว่า ขณะที่ทุนสำรองที่น้อยของมาเลเซียนั้นจะจำกัดความสามารถในการแทรกแซงของธนาคารกลาง


ภาพในบรรทัด 4

ค่าเงินในเอเชียต่างอ่อนค่าลงหลังนายทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง โดยประเทศที่ค่าเงินอ่อนลงมากที่สุดคือญี่ปุ่น

นักเศรษฐศาสตร์จาก Mitsubishi UFJ Kokusai Asset Management ระบุว่า ในช่วงเวลาที่เป็นขาลง ประเทศใดที่อ่อนแอจะเป็นที่เด่นชัดมากขึ้น อาทิ มาเลเซีย และ ตุรกี




ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลง

น้ำมันดิบดิบปรับตัวลดลงมากกว่า 1% เนื่องจากการแข็งค่าของดอลลาร์และสต็อกน้ำมันดิบในซาอุดิอาราเบียปรับตัวสูงขึ้นกดดันตลาด แม้ว่ากลุ่มโอเปกจะมีรวางแผนลดการผลิตน้ำมันดิบของในสัปดาห์หน้า โดยน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวลดลง 1.3% สู่ระดับ 47.33 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่น้ำมันดิบ Brent ปรับตัวลดลง 1.4% สู่ระดับ 48.31 เหรียญ/บาร์เรล


บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com